สองเดือนกับสองขาที่ตระเวณเที่ยวยุโรปโดดๆอยู่คนเดียว

Posts tagged ‘ฝรั่งเศส’

France…Paris (ตระเวณทัวร์เดินตามไกด์ II)

ile de la cite

จากนั้นไม่นาน คุณไกด์พาเราเดินข้าม Ile de la Cite มายังอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำ Seine ค่ะ ลืมบอกว่าว่าไอ่ Ile de la Cite เนี้ยมันก็คือ เกาะกลางน้ำธรรมดาๆนี้เอง คล้ายๆเกาะเกร็ดบ้านเรา เพียงแค่มันเล็กกว่า มาก และPont Neuf ก็จะพาดผ่านบริเวณมุมสุดของเกาะที่เป็นชายขอบติดกับแม่น้ำ ว่ากันว่าตะก่อนแต่กาลโบราณมาปารีสมีขนาดเล็กแค่ Ile de la Cite  แค่นั้นเองค่ะ ด้วยความเก่าแก่ทางประวัติศาสตร์ของเกาะเล็กๆแห่งนี้เอง จึงไม่น่าแปลกใจว่าทั้งโบสถ์วิหาร ปารสาทราชวัง ตลอดจนที่พักอาศัย ตลาดดอกไม้เล็กๆ รวมทั้งอาคารศูนย์ราชการต่างๆ จะถูกเนรมิตขึ้นให้พอเหมาะพอดีกับขนาดของเกาะแห่งนี้นี่เอง

Louvre กับพีระมิด

พอเราข้ามมายังฝั่งขวาของแม่น้ำ (เค้าเรียกว่า La Rive Droite) ก็จะเห็นอาคารหลังมหึมา ซึ่งรู้จักกันในนามของ พิพิธภัณฑ์ Louvre หนึ่งในแหล่งรวบร
วมโบราณวัตถุและผลงานศิลปะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก ยังค่ะ คราวนี้เรายังไม่ได้เข้าไปชมของข้างในกัน เพียงแค่เดินดูรอบๆ ตัวอาคาร ฟังเค้าบรรยายเล่าเรื่องตลกโปกฮาของราชวงศ์ และขุนนางต่างๆในบรรพกาลนานมาแล้ว ตลอดจนคำร้องเตือนให้ระวังบรรดามิจฉาชีพทีคอยจ้องทรัพย์สินมีค่าของนักท่องเที่ยวไปอีกด้วย พวกเราพากันเดินมาเรื่อยๆกระทั่งถึงกลางลานของพิพิธภัณฑ์ เราจะพบกับปิรามิดแก้ว ซึ่งสร้างโดยประธานาธิบดีฟรองซัว มิเตอคอง ซึ่งต้องการสร้างอนุสรณ์สถานของตนเองไว้ที่กรุงปารีสแห่งนี้ ตัวอาคารรอบด้านจะมีรูปปั้นข้าราชสำนักคนสำคัญต่างๆในอดีตของฝรั่งเศส กอรปกับศิลปกรรมแบบบาโรคที่เน้นความหรูหราโอ่อ่าตามแบบหลุยส์ๆทำให้สถานที่นี้ดูน่าเกรงขามไปโดยฉับพลัน ก็น่าอยู่หรอกค่ะ ก็อีตาพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เคยเป็นพระราชวังมาแต่เก่าก่อน ฉะนั้นแล้วจะมิให้มันหะรูหะราไปได้อย่างไร

จากLouvre เราเดินตรงไปยังประตูชัยหรือ Arc de Triomphe

อันใหญ่ค่ะ

อันเล็กเบื้องหน้า ซึ่งถูกสร้างในสมัยนโปเลียนก็ไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมานี้เองแหล่ะค่ะ ที่ว่าเป็นอันเล็ก เพราะว่ามีอันใหญ่อยู่ด้วยเหมือนกัน ถ้ามองลอดอันเล็กไปก็จะเห็นอนุสาวรีย์ Le Concord เป็นเสาสูงตั้งอยู่กลางวงเวียน และประตูชัยอันใหญ่นั่นเองค่ะ บริเวณระหว่างอนุสรณ์สถานทั้งสองเป็นสวนหย่อมขนาดยักษ์เรียกกันว่า Le Tulleries ซึ่งมีทั้งเด็กทั้งคนแก่เดินกันให้ขวักอาบแดดกันให้วุ่นวายท่ามกลางแดดจ้าและอากาศอุ่นสบายของนครปารีสในยามSummer เช่นนี้ค่ะ

คุณไกด์พาเราเดินไปตรงไปเรื่อยๆ ผ่านอนุสาวรีย์ Le Concord ที่เล่าให้ฟังเมื่อซักครู่ ที่แห่งนี้ในอดีตมีประวัติอันมืดมน นั่นคือเคยเป็นแท่นวางเครื่องประหารอันอมหิตในสมัยปฏิวัติฝรั่งเศส แม้กระทั้งพระเจ้าหลุยส์ที่สิบหกและพระชายา พระนางมารีอังตัวเน็ตก็ต้องสังเวยชีวิตให้กับกีโยตินอันโหดเหี้ยมนี้ด้วย ว่ากันว่าสถานที่นี้จะได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วบริเวณแม้แต่สุนัขก็ยังไม่กล้าเดินผ่าน เป็นไงค่ะ สยดสยองกันพอดูเชียว อย่ากลัวไปเลยค่ะ ในปัจจุบันเครื่องประหารถูกกำจัดออกไปแล้วเหลือเพียงแต่เสาสูงๆหนึ่งต้น บนนั้นจารึกอักษร

อดีต

ภาพอียิปต์โบราณซึ่งนโปเลียนได้มาเมื่อครั้งไปตีอียิปต์ได้ ซึ่งเสาที่ว่านี้ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับประวัติศาสตร์ชาติที่นี่เลยแม้แต่นิดเดียว ทางการอียิปต์เคยขอเสาคืนแต่ว่าเหมือนจะไม่ได้ผล เพราะรัฐบาลฝรั่งเศสถือว่าเป็นสมบัติชาติตนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเอง เฮ้อๆๆ พูดไปก็นึกถึงทับหลังนารายณ์ของบ้านเราที่อยู่ดีคืนดีก็ไปโผล่ที่บ้านอื่นเมืองอื่นนะค่ะ

โชคดีที่ยังได้คืนมาผืนแผ่นดินของเราอยู่นั่นเอง ส่วนไอ่เจ้า Le Concord นี้นอกจากจะมีประวัติอันพิศดารแล้ว ก็ยังเคยใช้รณรงค์การป้องกันโรคติอต่อทางเพศสัมพันธ์ด้วยค่ะ คุณไกด์เล่าว่าเคยมีคนเอายางสีชมพูไปครอบอนุสาวรีย์แห่ง

ปัจจุบัน

นี้ให้รถที่ผ่านไปมาได้ขำขันกันเล่นๆ ก็สมควรแหล่ะค่ะ ในเมื่อรูปทรงของเจ้าอนุสาวรีย์นี้มันชวนให้คิดลึกอย่างนี้นี่เอง

เราทั้งฝูงค่อยๆพากันเดินข้ามถนนวงเวียนที่ Le Concord ระหว่างนั้นคุณไกด์ก็ชี้ให้ดู Academie Francaise ซึ่งก็เหมือนราชบัณฑิตยสภาของบ้านเราดีดีนี้เอง ที่นี่จะคอยบัญญัติศัพท์ใหม่ๆให้คนฝรั่งเศสใช้แทนที่จะใช้ภาษาอังกฤษทับศัพท์ไปอีกทีนี่เองค่ะ เช่นคอมพิวเตอร์ หากไปเรียกซึ่งๆหน้าคนที่นู้นเค้าก็อาจทำหน้าเอ๋อได้ เพราะค้าเรียกว่า Ordinateur จะเห็นว่าคนฝรั่งเศสก็ชาตินิยมไม่เบา เชื่อว่านี้คงเป็นกระแสป้องกันการถูกกลืนทางด้านว้ฒนธรรม เค้าเลยต้องหันมาดูแลอะไรๆให้เป็นเอกลักษณ์ของชาติเค้าให้ได้มากที่สุด

เราพากันเดินอ้อมข้ามไปๆมาๆจนถึงพระราชวังอีกแห่งหนึ่งนามว่า Petit Palais แปลว่าพระราชวังหลังเล็ก ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงผลงานทางศิลปะไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ที่แห่งนี้ก็มีประว้ติอีกเหมือนกัน เพราะในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อนาซีบุกเข้ายึดปารีสได้ ฮิตเลอร์สั่งให้นายพลที่ประจำการที่นี่ทำลายสถาปัตยกรรม ปราสาทราชวังเมืองนี้ให้หมด แต่นายพลผู้นี้กลับละเลยคำสั่งเนื่องเพราะว่าเสียดายฝีไม้ลายมือที่ช่างชาวฝรั่งเศสที่สั่ง

Le Petit Palais

สมกันมาอย่างยาวนาน ท่านทำทุกวิถีทางเพื่อกันไม่ให้เมืองแห่งนี้ถูกทำลายลง แต่สุดท้ายก็ถูกบีบ ท่านจึงจำต้องแสร้งทำลายเมืองด้วยการจุดระเบิดทำลายพระราชวังแห่งนี้เสีย แต่เพราะว่าราชวังแห่งนี้ทำด้วยกระจกแก้ว เมื่อถูกวางระเบิดเศษแก้วจึงกระจุยกระจายไปทั่ว เป็นเหตุให้ผู้คนจึงพากันเข้าใจผิดว่าปารีสถูกทำลายลงอย่างย่อยยับไปแล้ว พูดเป็นภาษาบ้านเราก็เหมือนเสียส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนใหญ่นั่นเองแหล่ะค่ะ

และนั่นก็คือประมาณการคร่าวๆจากการเดินทัวร์ตามคุณไกด์ใจดีในครั้งนี้ จบการทัวร์ไกด์ก็ขอบคุณเราและชวนไปเที่ยวกินข้าวกันต่อ เค้ายังโฆษณาว่ามีการพาทัวร์เที่ยวกลางคืนในกรุงแห่งนี้ พร้อมกับมีทัวร์จักรยานพากันไปดูจนถึงพระราชวังแวร์ซายน์นู้นแหน่ะ ปิดท้ายเราเลยรวมๆเงินให้ทิปเค้าไปจำนวนหนึ่ง สำหรับใครที่สนใจบริการทัวร์เช่นนี้ลองเข้าไปดูที่ http://www.neweuropetours.eu/ ซึ่งมีโปรแกรมที่เที่ยวที่ทัวร์ฟรีไม่เจาะจงแต่กรุงปรารีสเท่านั้นค่ะ ฉะนั้นใครสนใจก็ตามกันไปดูได้ คราวหน้าจะพาไปดูวิหาร Montmatre อันศักดิ์สิทธิ์คู่นครสุดโรแมนติกแห่งนี้ค่ะ

France…Paris (เดินตามไกด์ ทัวร์กรุง I)

เพราะว่ามากับคู่ฮาเคยมาปารีสแล้วฉะนั้นคุณเพื่อนก็เลยรู้ระบบธรรมเนียมประเพณีของนักเที่ยวไส้แห้งอย่างพวกเราเป็นอย่างดี สำหรับวันแรกในปารีส เราเปิดพิธีด้วยการไปตระเวณในย่านกรุงเก่าเยี่ยมชมบรรดาปราสาทราชวังในเกาะกลางกรุงที่เรียกกันว่า Ile de la Cite’ และรอบๆบริเวณลูฟร์ แล้วจึงพากันเดินเลยมาถึงตึกราชวังอีกสองสามแห่ง แต่ทั้งนี้เราก็หาได้ชมเมืองด้วยกันเพียงแค่สองคนไม่ แต่ว่าไปกับไกด์ทัวร์บริการฟรีติดค่าทิปนิดๆหน่อยๆ ซึ่งเค้าจะรออยู่แล้วที่วิหารเซนต์ปีเตอร์ในย่าน Latin quartier (อ่านว่า ลาแตง กัตทริเย ค่ะ) ซึ่งเป็นย่านนักเรียนนักศึกษาอันเก่าแก่ของกรุง เนื่องจากที่แถบนั้นจะเป็นจตุรัสหนังสือเก่าสำหรับนักศึกษา และใกล้กับมหาวิทยาลัยซอร์กบอนน์อันมีชื่ออีกด้วย

ทัวร์คราวนี้เริ่มเวลาสิบเอ็ดโมงเ ราสองคนพร้อมกับนักท่องเที่ยวไส้แห้งทั้งชาวอมเริกัน สิงคโปร์ เนเธอร์แลนด์ กว่ายี่สิบชีวิตก็พากันเดินตามไกด์ชาวรัสเซีย ต้อยๆ พร้อมฟังคำบรรยายภาษาอังกฤษไปพลางสองพลาง  จากจตุรัสเซนต์ไมเคิล เราเดินข้ามแม่น้ำSein ที่สะพาน Pont Neuf สะพานชื่อว่าใหม่ หากแต่ว่ากลับเป็นสะพานก่อที่เก่าที่สุดของเมืองปารีส ไกด์แกบอกว่าสร้างขึ้นในสมัยของพระเจ้าเฮนรี่ที่สี่ผู้มีอารมณ์ขันเป็นเลิศ ก็แกเล่นจัดงานเลี้ยงในราชวัง เลี้ยงเหล้ามอมมายเหล่าสหายข้าราชบริพารขุนนางทั้งหลายแหล่ พอเมาได้ที่กษัตริย์ผู้ทรงภูมิก็ทรงให้บรรดาศิลปินเอกในท้องพระโรงมาวาดภาพของแต่ละคนเก็บเอาไว้อย่างละเอียดละออ แล้วจึงเอารูปประหลาดเหล่านั้นไปหล่อทำเป็นภาพนูนต่ำ แล้วเอามาประดับไว้ที่สะพานแห่งนี้ ฉะนั้นแล้วหากทุกท่านเงยหน้ามองสะพานจะเห็นรูปหล่อหน้าตาประหลาดของบรรดาผู้ดีฝรั่งเศสขณะเมาเหล้า ทั้งน้ำลายยืด ทั้งแลบลิ้นปลิ้นตาเรียงอยู่เป็นตับ แต่อย่าแปลกใจนะค่ะหากเวลาเดินลอดใต้สะพานจะมีกลิ่นเย้ายวนใจล่องลอยมาเป็นระยะระยะ ไกด์เค้าบอกว่าบริเวณใต้สะพานประวัติศาสตร์แห่งนี้เป็นส้วมสาธารณะของประชากรชาวปารีสเค้า

ตรวนใจกลางน้ำSein

เลยทีเดียว

ถัดจากนั้นมาเราเดินเรียบแม่น้ำSein ผ่านสะพานยอดรักที่บรรดาคู่รักล้วนเอาตรวนใจมาคล้องกุญแจ แล้วโยนลูกกุญแจลงในแม่น้ำเบื้อล่าง พร้อมทั้งลงชื่อสลักทั้งชายหญิงไว้บนแม่กุญแจคล้องใจนั้นเอง แต่วัฒนธรรมนี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะชาวฝรั่งเศสเท่านั้นหรอกค่ะ จำกันได้มั้ยค่ะว่าที่ Cinque Terre ระหว่างเดินจากManarola ผ่าน Via del’Amore เราก็เจอโซ่ตรวนใจนี้เหมือนกัน เอาเป็นว่าความรักรัญจวนไจอย่างนี้มันแพร่ไปทั่วยุโรปเลยก็ว่าได้

มหาวิหาร Notre Dame di Paris

พอเดินข้ามสะพานรักเราก็มาเจอวิหาร Notre Dame de Paris อันลือชื่อมาจากเรื่อง คนค่อมแห่งนอทร์ดามม์ การ์ตูนอิงนิยายของดิสนีย์นั่นเองค่ะ พูดถึงโบสถ์แห่งนี้ว่ากันว่าจริงๆแล้วถูกปล่อยให้ทรุดโทรมมานานหลายศตวรรษจะถูกทุบแหล่ไม่ทุบแหล่อยู่มะรอมมะร่อ กระทั่งนักประพันธ์ชื่อดังนามว่า Victor Hugo ได้แต่งนิยายเรื่องนี้ขี้นเพื่อปลุกสำนึกชาวปารีสทั้งหลายให้รักและหวงแหนดินแดนสำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งนี้ พูดถึง Victor Hugo ซักนิดหากใครไม่รู้จักเค้า ที่นู้นเค้าก็ถือว่าเชยเต็มแก่ เพราะว่านักเขียนผู้นี้เขียนนิยายอมตะมาแล้วหลายต่อหลายเรื่อง รวมทั้งเรื่องเศร้าดราม่าเช่น Les Miserables อีกด้วยค่ะ ชาวปารีสยกย่องท่านมากถึงกับให้เอาอัฐฐิของท่านไปบรรจุไว้บนยอดมหาวิหาร Pantheon เลยก็ว่าได้ แม้แต่บ้านที่ท่านเคยอาศัยอยู่ในกรุงปารีส ตอนนี้ก็เปิดให้เป็นพิพิธภัณฑ์ให้คนเข้าชมได้ฟรีๆไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

บล๊อกนี้ก็ขอจบตอนแรกของการชมมหานครปารีสไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อน บล๊อกหน้าจะพาไปชมอะไรต่อไปโปรดติดตามตอนหน้านะค่ะ

France…Paris (การมาเยือนอันทุลักทุเล)

จากเวนิซ เราก็บินสายการบิน ryan air มากันที่ปารีสแดนใฝ่ฝันของใครอีกหลายคน แต่ไม่ใช่ว่าจะมาง่ายไปง่ายนะค่ะ เพราะว่าจากเวนิซเราต้องนั่งรถไฟไปยัง Treviso แล้วถึงได้นั่งเครื่องมาต่อกันที่เมืองนี้  แล้วพอมาถึงปารีสเราก็ไม่ได้มาที่สนามบิน Charles de Gaulle สนามบินหลักของปารีสหรอกค่ะ แต่นู้นไปที่สนามบิน Beauvais นู้น ซึ่งต้องนั่งรถเข้ามาในเมืองใช้เวลาร่วมชั่วโมงกว่าๆเห็นจะได้ นี้แหล่ะค่ะ บาปกรรมของคนนั่งเครื่องสายการบิน lowcost เพราะว่าเจ้าสนามบินที่เค้าให้หนูๆขึ้น แล้วก็พามาลง มันช่างห่างไกลซึ่งตัวเมืองความเจริญจริงๆ (พูดเว่อร์ไปหน่อยนะเนี้ย) เดินทางกันรอบนี้เลยสะบักสะบอมกันเป็นแถวเพราะกว่าจะถึงในกรุงปารีสจริงๆก็เกือบเที่ยงคืน แล้วเราต้องหอบไอ้เจ้ากระเป๋าสิบโลลิงโลดหาที่พักอีกแน่ะค่ะ ถึงแม้จะมีแผนที่คร่าวๆ แต่คราวนี้มาขออาศัยอพาร์ตเม้นท์ว่างๆของคนรู้จักอยู่ ฉะนั้นแล้วก็ต้องหอบเอาแผนที่เดินไปเดินมาซ่ะทั่วไปหมด นอกจากนั้นแล้วรถไฟใต้ดินหรือ metro ก็กำลังจะปิดด้วย จำได้ว่าพอรถ airport bus มาส่งที่ในเมืองปุ๊บ เราก็ต้องรีบวิ่งหารถไฟใต้ดิน และปรากฏว่าวิ่งเข้ารถได้ทันลำสุดท้ายของคืนพอดีเลยค่ะ ค่อยยังชั่วหน่อย และพอมาโผล่ที่สถานี le concord แถวที่พัก เราก็เดินหลงเลยค่ะ เพราะงงว่าจะต้องไปทางไหนอะไรยังไง ด้วยความเป็นเด็กศิลป์ภาษาเก่าเลยได้รับหน้าที่ให้ไปคุยกัยคนแถวนั้น เพื่อถามทาง แต่ว่าร้านรวงอะไรก็ปิดหมดแล้ว เหลือแต่บาร์ฝรั่งแก่ๆ ที่เจ้าของกำลังเช็ดแก้วไวน์ตรียมเก็บ เดินเข้าไป ก็พูดเหรอๆหร่าๆ แล้วยื่นแผนที่ให้แกดู สุ

ดท้ายแล้วแกก็ชี้โบ้ชี้เบ้ให้เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา กว่าจะรู้เรื่องได้ก็ผ่านไปแล้วยี่สิบนาที แต่สุดท้ายก็เดินมาเจอจนได้ค่ะ คืนนั้นหมดสภาพ ลากๆถูๆไอ่เจ้ากระเป๋า ขี้นห้อง อาบน้ำ แล้วนอนผล็อยไปกันเลยทีเดียวค่ะ

พูดไปมาอธิบายที่พักคราวนี้เป็นเป็นอพาร์ตเม้นท์ว่าง เจ้าของใจดีเค้าซื้อไว้เผื่อไปทำงานที่นู้นแล้วเลยให้เพื่อนฝูงที่ไปเที่ยวในปารีสได้อิงแอบแนบนอนคืนสองคืนไปพลางๆค่ะ แต่คราวนี้เรามาขออยู่บ้านแกอาทิตย์นึงก่อนที่จะย้ายไปอยู่ที่บ้านของพี่ที่รู้จักกันอีกอาทิรย์นึง ก็ทำเลที่ตั้งถือว่าเวิร์กสุดๆ เพราะอยู่กลางกรุงพอดิบพอดี เดินไปไม่เท่าไหร่ก็ถึงคุณลูฟร์ ไปทางขวานิดก็ถึงถนนนังชอมป์ง แต่อาจเป็นเพราะว่าใกล้เกลือกินด่างเหมือนที่โบราณเค้าว่าไว้ก็ได้นะค่ะ เพราะมาคราวนี้ไม่ได้เดินตะลอนสมบุกสมบันเหมือนที่อื่น แต่ว่ามาพักผ่อนชิวๆ นอนกางพุงตบยุงตบมดอยู่ในอพาร์ตเม้นท์ซ่ะมากกว่าค่ะ  แต่เอาหล่ะค่ะจะเป็นยังไงอะไรจะขอเล่าคร่าวๆให้ฟังคราวหน้าต่อซักเล็กน้อยละกันน่ะค่ะ