สองเดือนกับสองขาที่ตระเวณเที่ยวยุโรปโดดๆอยู่คนเดียว

Posts tagged ‘ศิลปะ’

Italy…Venice (เมื่อเวนิซมาเจอกับวานิช)

จริงๆแล้วที่ตั้งชื่อนี้ก็ไม่ใช่เพราะอะไรหรือว่าเป็นวานิซหรอกนะค่ะ แต่ว่าถ้าเปรียบเวนิซเป็นคนแล้วก็คงไม่พ้นพ่อค้าวานิซชั้นดี ที่เป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้านานาชนิดจากทั่งทุกมุมโลก จริงๆนะค่ะ โดยเฉพาะในสมัยศตวรรษที่ 17 เมืองนี้ถือว่าเป็นประตูสู่ยุโรปเลยทีเดียว ด้วยอาณาเขตที่ตั้งอันเป็นจุด

ถ่ายตอนเดินบนสะพานค่ะ

ยุทธศาสตร์ ใกล้กลับปากอ่าวที่จะนำไปสู่ประเทศมหาอำนาจในสมัยนั้นอย่างเช่นอาณาจักรออสเตรีย-ฮังการีที่ยิ่งใหญ่ ในปัจจุบันก็คือประเทศออสเตรียนั่นเองค่ะ ว่ากันว่าบรรดาพ่อค้าชาวตุรกีมักนำสินค้าแขกจำพวกเครื่องเทศ เกลือ มาขี้นอ่าวที่นีเพื่อจะส่งต่อไปยังยุโรปแผ่นดินใหญ่อีกที ก็เพราะว่ามันใกล้ไงค่ะ แถมลักษณะที่เป็นเกาะยังทำให้เป็นท่าเรือสินค้าได้อย่างสบายๆ เวนิซมาสิ้นชื่อก็เมื่อโคลัมบัสมาค้นพบอเมริกาทำให้ศูนย์กลางการค้าย้ายฝั่งไปอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ก็ถือเป็นประวัติเรื่องเล่าสั้นๆที่น่าสนใจอยู่ไม่ใช่หยอกค่ะ

หากจะย้อนกลับมาเข้าเรื่องเมืองเวนิซของเราแล้วก็คงจะไม่แปลกใจเลยใช่มั้ยค่ะถ้าหากจะบอกว่าเวนิซอวลไปด้วยวิฒนธรรมจากหลายชาติ ผสม ปนเปกันไ

กอนโดล่าจอดเรียงเป็นตับหน้าจตุรัส San Marco

ป ตั้งแต่ คนยิว ซึ่งทำหน้าที่เป็นนายธนาคารพ่อค้าเงินกู้ หรือแขกอินเดีย และชาวเตอร์กซึ่งนำสินค้าเอเชียมาขี้นฝั่งที่นี่ เวนิซจึงเป็นเมืองมีชีวิตที่มีสีสันฉูดฉาดตระการตาค่ะ

เราเดินทางมาถึงเวนิซด้วยรถไฟจาก Trento เมืองทางตะวันออกเฉียงเหนือแห่งแคว้น Trentino e Alto Adige ค่ะ แต่ขอข้ามเรื่องไปนิดหนึ่งนะค่ะเพราะว่าเมืองนั้นไม่ใช่จุดหมายการท่องเที่ยวของเราค่ะ

ถึงแม้เวนิซจะเป็นเกาะอยู่กลางน้ำ แต่ว่ารถไฟก็ตัดมาถึ

เห็นวิหาร Santa Maria alla Salute อยู่ลิบๆ

งค่ะ เพราะว่าทางการถไฟอิตาลีได้ถมดินออกมาจากชายฝั่ง แคว้น Veneto ดิ่งตรงไปยังเมืองสำคัญทางการท่องเที่ยวอย่างเวนิซ ฉะนั้นแล้วขณะที่เรานั่งรถไฟมาใกล้ถึงตัวเกาะ เราก็เห็นทะเลกว้างใหญ่อยู่ภายนอกทั้งสองด้าน ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเราลอยอยู่กลางทะเลยังไงยังงั้นแหล่ะค่ะ

พอมาถึงสถานีเราสองคนหอบกระเป๋ามากันอีกคนละใบสองใบเดินตากนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ลงมาจากรถ แต่ก่อนที่จะไปทำอะไรต่อได้ท้องเจ้ากรรมดังปวดห้องน้ำขี้นมาซ่ะอย่างนั้น พอถามไถ่คนแถวนั้นดูก็เลยต้องเดินอ้อมรางรถไฟไปอีกด้านหนึ่ง พร้อมพบกับกลุ่มคนหลากเชื้อชาติต่อคิวเข้าห้องน้ำกันยาวเหยียด ไม่พอเท่านั้นทุกคนต้องจ่ายเงินค่าห้องน้ำตั้งสองยูโรค่ะ คิดไปคิดมาก็เหมือนแลกก๋วยเตี๋ยวไปสองชามกับการได้เข้าห้องน้ำที่สถานีรถไฟ ช่างไม่คุ้มกันเลยจริงๆ พอคิดได้อย่างนั้นแล้วเราเลยหาวิธีประหยัดเงินวิธีอื่น พอเหลียวซ้ายแลขวาดูทั้งสองด้านก็พบว่ามีรพไฟจอดอยู่ที่ชานชาลาด้านหลัง แล้วเพราะเหตุใดเราจะไม่ขึ้นไปทำธุระบนระไฟขบวนนั้นซักหน่อยเล่า นั่นแหล่ะค่ะ พอรอจังหวะดีดี เราสองคนเลยสลับกันขี้นไปทำอะไรนิดหน่อยในห้องน้ำบนรถไฟนั้นเอง อันนี้แอบบอกนะค่ะ แต่เอาไปใช้ได้เลยไม่มีปัญหา

วิหาร San Marco ตอนนั้นกำลังซ่อมอยู่ค่ะ

พอจัดการภารกิจเสร็จสรรพ ก็ถึงเวลาตามหา tourist info ตามที่ตั้งใจไว้แหล่ะค่ะ ก็ไม่ใช่เพราะอะไรหรอกนะค่ะ แต่ที่อ่านหนังสือมาเค้าบอกว่ามี Venice Card แบบต่างๆให้เลือก ทั้งที่เป็นแบบรวามพิพิธพัณฑ์แหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆต่างๆ และการเดินทางด้วยค่ะ เราเดินไปๆมาๆก็เจอจนได้ ถึงคิวจะยาวแต่ว่ารอแป็บเดียวคิวก็หดแล้วค่ะ บรรดาพนักงานที่นั้นพูดอังกฤษปร๋อ พร้อมเอาแผนที่เมืองมาให้เราด้วย แล้วเราก็เลยเลือกซื้อบัตรแบบที่มันให้เดินทางตามเรือประจำทางได้ทุกวันเป็นเวลา 72 ชั่วโมงค่ะ ราคาน่าจะราวๆ 30 ยูโรค่ะ นับว่าโอเค ทีนี้เราก็มาดูระบบการสัญจรของเวนิซกันน่ะค่ะ

อย่างที่ทุกคนทราบกันว่าเวนิซเป็นเกาะ ไอ่ที่จะหารถรานั้นก็ไม่มี ทางเดียวที่เค้าใช้กันก็คือทางเรือค่ะ มีเรือประเภทต่างๆไว้ค่อยบริการผู้คน ไอ่ที่เรียกว่า vaporetti ก็เป็นเรือเมล์ค่ะ เหมือนๆรถเมล์หรือรถไฟฟ้า มันก็จะแบ่งไปอีกเป็นแบบเร็ว แบบช้า ก็คือว่าแบบเร็วจะไม่จอดทุกป้าย เวลาขี้นก็ต้องดูดีดีว่าขี้นถู

สะพาน Rialto

กชานชาลารึเป่า เพราะแต่ละชานจะมีเรือคนละขบวนกัน นอกจากนี้ต้องดูป้ายเรือด้วยนะค่ะว่ามันไปที่ไหนเป็นที่สุดท้าย จะได้ไม่หลงขี้นเรืออ้อมไปผิดทางค่ะ ก่อนขี้นก็เอาบัตรที่ซื้อไว้มาจ่ออยู่ที่เครืองแสกนให้มันส่งเสียงตึ๊ดซักแป็บ แล้วเราก็ขี้นได้อย่างสบายใจเฉิบ

ขี้นเรือเมล์ครั้งแรกก็ขี้นไปที่โรงแรม โฮสเทลแหล่ะค่ะ ของเราจองได้ที่โรงแรมที่ไกลจากวิหาร San Marco ไปซัก สองสามป้าย แต่ว่าเป็นฝั่งตรงข้ามนะค่ะ ก็ดีคะ่ ไม่ต้องไปจอแจแออัดกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ เพราะในตัวเมืองเวนิซเองค่อนข้างแออัดเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกค่ะ หลังจากนั้นแล้วเราก็ลากเอาของไปเก็บ จ่ายเงินให้เรียบร้อย แล้วก็ปูเตียงผ้าห่มค่ะ เสร็จแล้วก็เลยพากันนั่งเรือข้ามไปอีกฝั่งหนึ่ง ไปดูวิหาร San Marco สัญลักษณ์ประจำเมืองนี้ค่ะ วิหารนี้จะให้บรรยากาศทองๆแนวแขกๆค่ะ เหมือนแนวอิสตันบูล เตอร์กอะไรประมาณนั้น ส่วนด้านหลังของวิหารจะเป็นที่ที่เจ้าผู้ครองเมือง Duke อยู่ในสมัยโบราณต่ะ นอกจากนี้ถ้ามองไปดีดีจะเป็นสะพาน Casanova ด้วยนะค่ะ สะพานนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นสะพานประหารเพราะว่า Casanova ต้องกระโดดลงมายังพื้นเบื้องล่างฆ่าตัวตายตามคำตัดสินลงโทษของศาล สาเหตุเนื่องมาจากคดีชู้สาวนั่นเองค่ะ

เราเดินวนไปๆมาๆ วกซ้ายขวาอย่างงุนงง จริงๆค่ะ ที่นี่ทางเดินงงมาก บรรดาตึกรามบ้านช่องก็ติดกันเป็นแผง โชคดีที่ยังพอมีป้ายบอกว่าไปสถานที่สำคัญๆต่างๆยังไง เช่น San Marco หรือ สะพาน Rialto เลยพอคลำๆ

มุมหนึ่งของเมืองเวนิซ

กันไปได้บ้างไม่ลำบากนัก นอกจกนี้แล้วก็โอเคค่ะ ลองดำๆดูจากแผนที่

บ้านเมืองที่นี่ไม่ใช่ตึกสูงใหญ่ ส่วนมากแล้วราวๆสี่ห้าชั้น แต่ว่าสร้างติดกันเป็นแถบค่ะ บางทีก็มีสายตากผ้าโยงไปมาระหว่างบ้านสองหลัง นอกจากนี้ยังมีบ้านนหลังโตที่ได้รับการสลักอย่างประณีตอยู่ริมน้ำ โดยเฉพาะ Canale Grande ลำน้ำสายใหญ่ไหลผ่านกลางเมือง พวกนี้เป็นบ้านเศรษฐีมาก่อน ฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจค่ะว่าเค้าเอาเงินทองจากไหนมาสร้าง บ้านหลังโตเหล่านี้ทางการเค้าอนุรักษ์ไว้ค่ะ บางทีก็เอามาทำเป็นพิพิธภัณฑ์ บ้างก็กลายเป็นโรงแรมไฮโซ ให้ผู้มาพักได้ชื่นชมกับสายน้ำ แลเบรรยากาศอันมีชีวิตขีวาของเมืองอย่างเต็มอิ่มค่ะ

ตอนนี้เอาไปเท่านี้ก่อนน่ะค่ะ ไว้ตอนหน้าจะมาเล่าเพิ่มว่าที่นี่มีอะไรน่าเที่ยวอีกบ้างค่ะ