สองเดือนกับสองขาที่ตระเวณเที่ยวยุโรปโดดๆอยู่คนเดียว

ขนมหวานมาแล้วจ้า

หลังจากที่พาไปทานอาหารมื้อใหญ่ๆกันมาแล้ว คราวนี้เรามาดูกันดีกว่าว่าที่นี่มีร้านขนมอะไรน่าสนใจกันบ้าง ก่อนอื่นก็เครียมท้องให้พร้อม พร้อมกับเตรียมใจให้พอ สำหรับร้านขนมที่จะพาทุกท่านไปชม ไปชิม กันดีกว่าค่ะ

ร้านแรกเลยเป็นร้านขาย Macaron หรือที่เรียกๆกันว่า มาคาโรน นั่นแหล่ะค่ะ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมที่นี่เค้าถึงมีร้าน macaron (อ่านว่า มากาคฮ์ง) ให้เลือกชมชิมมากมาย จนดูหมือนว่าจะกลายเป็นขนมประจำเมืองไปเสียเนี่ แต่ว่าเอาเหอะค่ะ ตามสไตล์คนกินน้อย (เหรอ)อย่างเรา เราก็ตามไปกินเจ้านี่ กันก่อนที่ร้านPierre Herme

Macaron at Pierre Herme

ร้านนี้เป็นร้านเล็กๆค่ะ แต่ว่ามีหลายสาขา ได้ข่าวว่าเจ้าของเค้าเคยเป็นคนทำ Macaron ขายที่ร้านดังแห่งหนึ่ง(ขอไม่บอกเพื่อความเป็นส่วนตัวค่ะ) แต่ต่อมาก็แยกออกมาเปิดร้านเอง พร้อมกับคิดสูตรเพิ่ม จนขายดีเป็นเทน้ำเทท่าอย่างทุกวันนี้ นอกจากนี้วันดีคืนดี แกยังเปิดให้มีการบริจาคเงินเพื่อแลกกับขนมของแกกี่ชิ้นก็ได้อีกด้วย แล้วแกก็จะนำรายได้วันนั้นไปบริจาคให้องค์กรการกุศลต่างๆ นับว่าน่าสนับสนุนเป็นอย่างยิ่ง เราตามกันไปเพราะอาเจ๊สุดน่ารักที่อยู่ปารีสมานานสองนานแกแนะนำแถมพาไปอีกด้วย เราเลยจัดการซื้อมากันกันหนึ่งกล่อง แล้วมานั่งละเลียดแบ่งกันกัดไปๆมาๆ หน้าสวน Tuillerie ค่ะ ที่ลองกันก็มีพวก Rose กะ Lychee แล้วก็อะไรอีกจำไม่ได้ แต่รู้สึกได้ว่ารสมันหวานหอม กลมกล่อมกำลังดี แถมเจ้า Macaron ก็ยวบๆดี ใช้ได้ๆ ไม่เสียแรงที่เสียตังค์ไปตั้งหลายยูโรเพื่อกินไม่กี่อัน เอาเหอะค่ะ ไหนๆมาแล้วก็เสียซักหน่อยจะเป็นไรไปใช่ม่ะหล่ะ จัดการให้ร้านนี้ไปเลยสี่ดาว หักไปซะหนี่งโทษฐานที่แพงมากกกก สำหรับใครที่อยากรู้อยากชิมก็ลองแวะไปดูที่เว็บเค้าค่ะ

Patisserie S. Aoki

ร้านที่สองก็ไม่พ้นเจ้า Macaron อีกแหล่ะค่ะ แต่ว่าร้านนี้เป็นของคุณยุ่นเชียวน่ะชื่อว่า Patisserie Sadaharu Aoki ไปถึงปุ๊บรู้ได้เลยว่าเป็นร้านญี่ปุ่น ไม่เพียงแค่ชื่อเท่านั้น ทั้งสไตล์แต่งร้านมันบอกอยู่ชัดๆ ทั้งร้านสีขาว มีสีเขียวต้นไผ่ปนๆ อาเจ๊คนเดิมบอกมา ว่าเป็นหนึ่งในสุดยอด Macaron ฉะนั้นจะให้เราพลาดได้ยังไงหล่ะค่ะเลยจัดการเรียบร้อยไปอีกหนึ่ง   บริเวณที่ตั้งก็ไม่ไกลจาก St. Michel เท่าไหร่ค่ะ แค่ต้องเดินไปซักสิบห้านาทีเท่านั้น ที่ๆเราสั่งกันก็คือ Green Tea Macaron ค่ะ เรียกว่าสุดยอดเรยครับท่าน กลิ่นหอมๆขมๆพอดิบพอดี เนื้อครีมก็นุ่มนิ่มไม่เละ ไม่แข็งจนเกินไป เรียกว่ามากมายจริงๆกะร้านญี่ปุ่นร้านนี้ ถ้าไม่ได้อาเจ๊รับรองว่าไม่มีวันหาได้ จำได้ว่าเราซื้อไปนั่งกินกันที่ Jardin de Luxembourg

ไปต่อกันร้านที่สามค่ะ ร้านนี้ได้ข่าวว่ามีสาขาที่เซ็นทรัลชิดลม แต่ว่าตัวเองก็ยังไม่ได้ไปลองชิมแล้วเทียบว่ามันเป็นยังไง แต่ที่ปารีสนี้ถือว่าเป็นร้านสุดหรูร้านหนึ่งเลย ก็ Cafe Angelina ดันตั้งอยู่ใกล้ๆ Louvre แถมยังติดกะสวน

Mont Blanc at Cafe Angelina

Tuillerie ฉะนั้นแล้วเราก็ต้องมาฝึกรับประทานขนมหวานให้ได้เยี่ยงผู้ดีฝรั่งเศสค่ะร้านนี้ต้องไปสั่งแล้วมานั่งกิน ภายในตกแต่งอย่างหะรูหะรามากส์ เก้าอี้ขอบทอง โต๊ะแบบหลุยส์ เห็นจะมีอยู่ที่นี่แหล่ะค่ะ จริงๆแล้วแกขายทั้งอาหารคาวหวาน แต่พอดีเรางบไม่พอเลยตัดใจกินแต่อาหารหวานไปก่อน อาเจ๊เลยจัดให้ พาเราไปดื่มช๊อกโกแล๊ต ร้อน พร้อมกับเค้ก ขนม ของหวานต่างๆที่ต้องไปเดินเลือกที่หน้าตู้ขนม ที่นี่ถือว่าเวิร์กค่ะถ้ามีเวลา และที่สำคัญ มีเงิน เฮ้อๆๆๆ พนักงานเสิร์ฟบริการก็ดี เราก็เลยลัลล้าทำตัวเป็นผู้ดีนิดหนึ่ง กินช๊อกโกแล๊ต จิบชา กินเค้กโอค่ะ

สุดท้ายขอรีวิวร้านเค้กอีกร้านหนึ่ง ร้านนี้อาเจ๊แกบอกมาว่าเด็ด ชื่อร้าน Bread and Roses รู้แค่ว่าอยู่แถว St. Michel นั่นแหล่ะค่ะ ฉะนั้นก็เลยเดินไปซื้อ Mille Feuilles แล้วหอบเอา

Millfeuilles

ไปกินในสวนแถวๆนั้น millfeuilles นี้อร่อยค่ะ ไม่หวานจัด รสกลมกล่อมกำลังดี เนื้อแป้งกรอบๆแตกออกมาเป็นแผ่นๆ คล้ายๆกับใบไม้เล็กๆที่ค่อยๆร่วงทีละน้อย สมกับชื่อ Millfeuilles (แปลว่าพันใบ) นอกจากนี้คุณเพื่อนก็เลือกเอา  berries tiramisu มาลองกัน รสชาติเปรี้ยวอมหวานเข้ากันได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อกับเนื้อครีม Tiramisu นุ่มๆ เหมือนกับค่อยๆลอยขี้นไปบนสวรรค์สมกะชื่อ Tiramisu ซึ่งเป็นภาษาอิตาเลียนแปลว่า “ดึงชั้นขึ้นไปให้สูงขึ้นทีสิจ่ะ” พูดไปพูดมา เราซื้อขนมเสร็จก็หอบเอาไปกินกันที่ Jardin de Luxembourg แถวๆนั้นเราก็ชิวๆกินๆไปเรื่อยๆ พร้อมๆกับดูนก ดูน้ำ ดูคน แต่จริงๆแล้วจะนั่งกินในร้านก็ได้ค่ะ เค้าก็มีที่นั่งให้เราอยู่เหมือนกัน ส่วนเค้กอื่นๆของเค้าก็น่าทาน ถึงจะไม่ได้ลองก็เหอะค่ะแต่เห็นอาเจ๊แกบอกว่าเด็ด 😀

Bertillon's Ice Cream

เสร็จจากพวกนี้แล้วอิ่มกันขี้นบ้างละยังค่ะ ถ้ายังเราไปหาไอติมกินกันเหอะค่ะ เพียงแค่เดินข้ามสะพานมายังเกาะ Ile de Saint Louis ที่ตั้งอยู่เบื้องหลังของ Ile de la Cite’ เราก็จะพบว่าอยู่ในดงของร้านไอติมจริงๆ ก็เกาะนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างว่าเกาะ Berthillon (อ่านว่า แบร์กติลยอง) ค่ะ ตามร้านสุดยอดไอติมของนคร Paris ค่ะ และก็เพราะเหตุนี้เองจึงมีบรรดาพ่อค้าหัวใสรับเอาไอติมจากร้านนี้มาขายที่หน้าร้านตัวเอง จนทั้งเกาะเต็มไปด้วยไอติม Berthillion ค่ะ ซึ่งเทคนิคนี้ใช้ได้ผลดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนสิงหาที่เราไปเนี้ยแหล่ะค่ะ เพราะว่าร้าน Berthillon ของแท้ แกเกิดหยุดพักร้อนขึ้นมาตลอดเดือน ฉะนั้นใครอยากกินสุดยอดไอติมก็ต้องตระเวณไปดูที่ร้านอื่นๆในเกาะค่ะ คราวนี้ก็เช่นกัน เราไม่ได้ไปกินที่ร้านดั้งเดิมของมันหรอก แต่ว่าเดินๆดูว่าร้านไหนคนค่อคิวยาวแล้วราคาโอเคกว่าเพื่อน สรุปแล้วก็คือว่าได้กินกันคนละลูกเป็นไอติมผลไม้แบบ เชอร์เบ็ท ค่ะ ก็อร่อยดี เปรี้ยวๆ หอมๆ  กำลังอินได้พอดี แต่ต้องรีบทานหน่อยนะค่ะ เพราะว่าช่วงหน้าร้อนไอติมละลายเร็วมากๆ ไม่ทันไรก็กองไปเปื้อนอยู่ในมือเป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ สำหรับใครที่อยากลองของจริงก็ไปดูเวลาวันอยุดกันได้ที่เว็บแกนะค่ะ

เอาหล่ะค่ะบรรดาขนมของว่างก็พากันไปชวนเชิญชิมมาบ้างแล้ว หวังว่าจะถูกใจนักผจญภัยกระเป๋าแห้งอย่างเราๆกันนะค่ะ คราวหน้าจะเว่าเรื่องอะไรไว้ติดตามอ่านกันต่อไปนะค่ะ พูดถึงขนมนมเนยก็แอบอยากกินขี้นมาซะแล้วสิ ไปหาอะไรม๊าบแถวนี้ดีก่า วันนี้ขอตัวไปก่อนละค่ะ

 

Comments on: "ขนมหวานมาแล้วจ้า" (3)

  1. ขอบคุณมากครับ สำหรับบทความดีๆ

  2. สาวบ้านนา said:

    ขอบคุณค่ะ น่าทานมากเลย

ใส่ความเห็น