สองเดือนกับสองขาที่ตระเวณเที่ยวยุโรปโดดๆอยู่คนเดียว

Posts tagged ‘ฝรั่งเศส’

เก็บตกก่อนจากกรุง

ถ้าเทียบแล้วปารีสก็เหมือนหญิงสาวสวยที่มีหลากหลายอารมณ์รวมๆกันอยู่ในนั้นนั่นเอง ทั้งอารมณ์เศร้า (สุสาน Pere la Chaise) ปนหวาน (Macaron กะ Bertillon Ice Cream) ทั้งน่ารัก (La Marais) และสนุกนาน (Moulin Rouge) อันแฝงไปด้วยอารมณ์ฝันค้างนิดๆ ปนนิยายหน่อยๆ (Louvre, La Muse’e d’Orangerie, Musee d’Orsay ) และปิดท้ายด้วยความยิ่งใหญ่อลังการ(Notre Dame, Pantheon, Sacre Coeur)นั่นเองค่ะ กระนั้นก็ตามอย่าให้เธอได้มีน้ำโหโกรธาขึ้นมาเชียวหล่ะค่ะก็เห็นๆอยู่ว่าผลลัพธ์ของเครื่องประหารกีโยตินที่ในอดีตเคยอยู่บนลาน Le Concord มันน่ากลัวขนาดไหน ความผสมปนเปของอารมณ์เหล่านี้มักแสดงออกมาให้เราได้เห็น และสัมผัสถึงบรรยากาศอันแตกต่างในวันเวลาและสถานที่ที่แตกต่างกันออกไปในเมืองหลวงใหญ่แห่งนี้

ถึงแม้ว่าปารีสจะเป็นเมืองหลวงใหญ่ที่หนีความสับสนวุ่นวายไปไม่พ้นเช่นมหานครอื่นๆทั่วโลก แต่เมืองแห่งนี้กลับเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และสมบัติทางวัฒนธรรมที่ถูกถนอมรักษาไว้อย่างดียิ่ง นับแต่ตัวตึกโบราณที่มีป้ายเขียนบอกว่าบุคคลสำคัญคนใดเคยอาศัยอยู่มาก่อนบ้าง อาคารที่พักอาศัยสูงหกเจ็ดชั้นอายุกว่าร้อยปีที่ไดรับการรักษาดูแลอย่างดีและยังคงถูกใช้เรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้

Shadow of the lights in Paris

ไปจนถึงการอนุรักษ์นำเอาอาคารทางประวัติศาสตร์มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์เหมือนกับเป็นการแต้มชีวิตเติมวิญญาณให้กับโบราณสถานแห่งนี้ไม่ให้ค่อยๆตายหายจากไปในความทรงจำของผู้คน นอกจากนี้ที่เห็นได้ชัดก็คือวิถีชีวิตของผู้คนที่นี่ ที่ซึ่งในทุกๆอณูล้วนถูกสอดแทรกไปด้วยความเข้าใจในประวัติศาสตร์ หากคุยกับชาวฝรั่งเศสจริงๆแล้วมักสามารถเล่าเรื่องราวของสถานที่และนักคิดนักเขียนของประเทศตนได้อย่างไม่อายปากตัวเองเลยค่ะ นอกจากนี้ความรู้สึกแปลกแยกไปจากสังคมแห่งการแข่งขันที่ถูกถูกกักขังด้วยโลกแห่งทุนนิยม ยังคงมีให้เห็นได้อยู่ทั่วไป ความรู้สึกลึกๆของการต่อต้านอเมริกัน และทัศนะคติอันดุเดือดต่อปัญหาการเมืองและสิ่งแวดล้อมต่างๆตามที่พอจะได้สัมผัสตลอดทริปนี้ล้วนเป็นข้อสะท้อนให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมทางสังคมโดยใช้หลักการเหตุผลที่มีพื้นฐานมาจากความคิดเชิงปรัชญายังให้เกิดการตื่นตัวของผู้คนตามระบอบประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ ด้วยเหตุนี้ปารีสจึงเป็นเมืองที่สามารถผูกเรื่องราวเก่าๆทั้งที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมไว้กับวิถีอันเร่งรีบของผู้คนในปัจจุบันได้อย่างลงตัว การเกี่ยวพันกันของประวัติศาสตร์กับปัจจุบันอย่างนี้นี่เองที่สะท้อนให้เห็นความรุ่งเรืองในกาลก่อนที่หลงมาให้เราได้ชมความงามในทุกวันนี้จนกลายเป็นสัญลักษณ์ดึงดูดใจให้นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกหนระแหงเข้ามาทำความรู้จักกับผู้หญิงสวยหลากอารมณ์คนนี้

A bridge crossing the Seine River

ทั้งๆที่โดยทั่วไปไม่ค่อยจะชอบวิถีของคนในเมืองกรุงซักเท่าใด แต่หากจะบอกว่าประทับใจเมืองใหญ่แห่งนี้ก็คงไม่ผิดนัก ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะหลงรักกับความโรแมนติกของเมืองนี้ อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะหลงรักพ่อหนุ่มรูปงามชาวฝรั่งเศส (อันนี้พูดเล่นค่ะ!) แต่สรุปเอาเป็นว่าหญิงงามอย่างปารีส (ไม่ใช่ปารีส ฮิลตันนะค่ะ) ก็จะยังงดงามอยู่อย่างนั่นตราบนานเท่าที่ประวัติศาสตร์จะยังคงความสำคัญต่อผู้คนที่นี่แหล่ะค่ะ

ถึงแม้จะจบตอนปารีสที่ยาวนานไปแล้ว แต่เรายังไปเที่ยวฝรั่งเศสไม่หมดค่ะ คราวหน้าไปเที่ยว Mont Saint Michel ปราสาทโบราณกลางทะเลก่อนที่จะบินลัดฟ้าขี้นไปที่สวีเดนกันค่ะ

สวน Tuilleries

ปารีสกลางสวนสวย

ก็เพราะว่าปารีสเป็นเมืองใหญ่ ฉะนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะมีสวนสาธารณะไว้ให้บรรดาชาว Parisien ไว้พักผ่อนหย่อนใจเป็นของธรรมดา แต่ที่นี่ถ้าบอกว่าสวนใหญ่แล้วหมายความว่า หย่ายยยยยย เจรงๆค่ะ คราวนี้ได้โอกาศดีจะพาไปเที่ยวชมกันสักแห่งสองแห่งสามแห่ง ใครชอบอันไหนว่ายังไงก็แนะนำกันเข้ามาได้ค่ะ ไม่หวงห้ามสงวนลิขสิทธ์บล๊อกไว้เขียนคนเดียวแน่นอน

เอาที่แรกเลยละกัน Tuilleries ก็เห็นเขียนมาหลายครั้งแล้วว่ามันมีสวนนี้ แต่ว่าไ

Tuilleries

ม่ได้เจาะละเอียดซักกะทีว่ามันมีความสำคัญยังไง แล้วมีอะไรให้ชมให้ดูให้ทำบ้างที่นี่ ถ้าจำไม่ได้บอกให้ก็ได้ว่าก็สวนเลียบริมน้ำ Seine นี้ไงที่อยู่หน้า Louvre ใช่แล้วค่ะ ใหญ่แค่ไหนกันเชียวก็ลองคิดดูค่ะว่าจากหน้า Louvre ใช้เวลาเดินประมาณครึ่งชั่วโมงกว่าจะมาสุดที่ปลายด้านหนึ่งของสวนรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแห่งนี้ ฉะนั้นแล้วใหญ่ใช้ได้เรยใช่มั้ยหล่ะค่ะ ด้วยพื้นที่มโหฬารอย่างนี้ใครๆก็ต้องสงสัยแล้วหล่ะค่ะว่ามันมีอะไรดีกันแน่ สวนนี้แต่เดิมเป็นส่วนหนึ่งของพระมหาราชวัง ซึ่งก็คือ Louvre ในปัจจุบันนั่นเองค่ะ จากบริเวณหน้า Louvre เราจะเห็นประตูชัยขนาดย่อมคอยต้อนรับนักท่องเที่ยวอยู่ด้านหน้า เมื่อเดินต่อมาบนทางเดินกรวดปนทรายขนาดกว้างก็จะพบกับลานน้ำพุขนาดใหญ่ที่บรรดาชาวกรุงหอบเอาเก้าอี้ไปนั่งเอนหลัง แล้วยกเอาเท้ายันไว้กับขอบบ่อ บ้างก็เอาหนังสือไปอ่านเล่น บ้างก็ไปนอนแผ่รับแดดอ่อนๆของฤดูร้อนกันอย่างชิวสุดๆ นอกจากนี้แล้วก็มีบรรดาเด็กเล็กเด็กใหญ่หอบเอาเรือใบลำน้อยมาลอยน้ำเล่น พร้อมกับไม้ยาวๆคอยกันไว้ไม่ให้เรือของตัวเองไปติดเกาะกลางบ่อน้ำ ดูๆไปทุกคนดูจะเอ็นจอยก็บกิจกรรมยามว่าง และพักผ่อนอยู่กับตัวเองอย่างเงียบๆ

Amusement Park @ Tuilleries

หากเรามองถัดไปทางขวาก็จะพบว่ามีชิงชาสวรรค์สีขาวอันโตตั้งอยู่ด้วยในบริเณใกล้เคียงกันก็มีสวนสนุกเล็กๆสำหรับเด็กตัวกระจ้อยเข้าไปหาความเพลิดเพลินค่ะ เครื่องเล่นข้างในก็คล้ายๆกับงานวัดบ้านเราที่มีม้าหมุน ยิงปืน ตอนที่เดินดูรู้สึกว่าเค้ายังไม่เปิด แต่กว่าจะเปิดก็เย็นๆตอนแดดร่มลมตกนั่นแหล่ะค่ะ นอกจากนี้ทางสวนก็มีบริการซุ้มอาหารและเครื่องดื่มไว้เป็นจุดๆ ฉะนั้นก็ไม่ต้องกลัวว่าต้องไปหากินอาหารแพงๆแถบนั้น เพราะข้าวของตามซุ้มเหล่านี้ก็ไม่ได้มีราคาแพงเกินไปนักหรอกค่ะ ไปหาอะไรกิน แล้วลากเก้าอี้ในสวนมานั่งเล่นใต้เงาร่มไม้ซึ่งเรียงรายอยู่ข้างทางอย่างเป็นระเบียบ ปล่อยให้ลมเย็นๆพัดโชยมา แล้วหยิบเอาหนังสือโปรดขี้นมาอ่านด้วยก็ทำให้เพลินดีไปอีกแบบค่ะ

Jardin du Luxemburg

นอกจากสวนนี้แล้วอีกแห่งที่ไม่ควรพลาดก็คือ Jardin du Luxemburg สวนแห่งนี้ก็เป็นสวนในพระราชวังอีกเช่นเดียวกันค่ะ ตั้งอยู่ในย่าน Latin Quartier ซึ่งเป็นแหล่งของบรรดานักศึกษามหาวิทยาลัยแถวนั้น  มาดูที่นี้แอบสงสารคนสวนเพราะว่าด้วยลักษณะของต้นไม้ที่เป็นพุ่ม เค้าคงต้องมาตัดกิ่งแต่งใบอยู่อย่างสม่ำเสมอ ส่วนคนฝรั่งเศสแถวนั้นก็มีตั้งแต่นักศึกษาไปตนถึงคนแก่ที่มารวมตัวกันเล่นเปตอง หรือฝึกเชาว์กับเกมส์หมากรุกอย่างขมักเขม้น สวนพวกเราเหรอค่ะง่ายๆค่ะ ไปหาขนมแถวนั้นมานั่งกินกันข้างๆน้ำพุ ดูน้ำ ดูปลา ดูนก สบายใจเฉิบไปเรย

เบาๆค่ะ เค้ากำลังใช้สมาธิ

สวนต่อไปที่จะพาไปดูก็คือ parc des buttes chaumont ค่ะ ที่นี่คุณเพื่อนของคุณเพื่อนที่เป็นชาวฝรั่งเศสเป็นคนพาไป โดยลักษณะแล้วดูเหมือนสวนจีนสวนญี่ปุ่นมากกว่าสวนฝรั่งค่ะ ทั้งนี้ระหว่างทางที่เดินไปก็ต้องเดินเลียบริมน้ำไปตาม Canal Saint-Martin จะเห็นร้านเล็กแต่งน่ารักขายของแต่งบ้านเต็มไปหมด คุณเพื่อนของเพื่อน อธิบายต่อว่าแถบนี้เป็นที่ที่ชาวฝรั่งเศสมักมานั่งเล่นชิวๆโดยปราศจากนักท่องเที่ยวให้รกหูรกตา ที่มองเห็นชัดๆก็คือมีลานเด็กเล่นขนาดใหญ่ลอยอยู่กลางน้ำค่ะ แล้วเค้าก็เล่าให้ฟังว่าแถบนี้เป็นที่ๆ bobo มักมาเดินเล่นกันค่ะ bobo นี้ย่อมาจากชื่อว่า Bohemien Bourgeoisie ซึ่งก็คือชนชั้นกลางซึ่งนิยมความชิวเป็นชีวิตจิตใจ เราพากันเดินตัดไปมา แล้วสุดท้ายก็มาถึงสวยแห่งนี้ค่ะ เราพบว่าที่นี่มันมีเนินเขาสูงถึงสามสิบเมตรตั้งอยู่ตรงกลาง พร้อมทั้งมีศาลา Belvedere อยู่บนยอด ไอ่เราก็เลยได้ทีขอไปชมบรรยากาศงามๆตามแบบฉบับกันบนหอสูงดูบ้างค่ะ จากข้างบนนั้นเป็นวิวของ Montmatre ได้อย่างชัดเจน ในศาลาก๊มีจารึกข้อความจากพวกมือบอลด้วยภาษาที่ไม่ค่อยจโสภาเท่าไหร่นักอยู่ด้วยอีกตะหาก เอาเป็นว่าก็ทำเป็นมองไม่เห็นแล้วกันค่ะ หลังกจากนั้นแล้วเราก็พากันดูรอบๆตัวสวน ซึ่งมีรูปปั้นหรือศิลปะแบบอาร์ตๆแทรกอยู่ด้วยเป็นที่ๆไป ซึ่งท้งหมดนี้ล้วนได้รับแรงบันดาลใจมากจากการเสื่อมโทรมของสภาพแวดล้อมในปัจจุบันค่ะ

Cimentere Pere la Chaise

สวนสุดท้ายที่จะพาไปชมกันก็คือสุสานฝังศพค่ะ ที่เรียกกันว่า Cimentaire Pere la Chaise นั่นเอง ที่นี่มีความสำคัญก็คือเป็นที่บรรจุศพของบุคคลสำคัญของโลกหลายคน ทั้งที่เป็นฝรั่งเศส และไม่ใช่ฝรั่งเศสค่ะ แต่ที่นี่จะหาหลุมฝังศพของใครสักคนนี้ต้องดูแผนที่หลุมดีดีนะค่ะ เพราะว่าหายากมากกกก แล้วก็ซ้อนๆเรียงๆกันเต็มสวนไปหมด เข้าไปทีก็แอบให้ความรู้สึกวังเวงนิดๆ แต่ก็ยังดีที่มีนักท่องเที่ยวหลายคนเดินไปๆมาๆ คลายความสยองเกล้าไปได้บ้างค่ะถ้าถามว่าใครบ้างที่ได้รับเกียรติให้มาสิ้นลมหายใจที่นี่บ้าง ก็ไล่เรียงไม่ตั้งแต่ Balzac นักเขียนชาวฝรั่งเศสชื่อดัง จนถึง Jim Morison นักร้องชาวอเมริกาที่มาสิ้นชีพในนครแห่งนี้ แต่เห็นว่าเป็นป่าช้ายังงี้ก็เหอะค่ะ แต่ละปีมันักท่องเที่ยวมาสักการะเยี่ยมชมที่แห่งนี้เป็นแสนๆคนต่อปีเชียวค่ะจนที่นี่ได้รับการขนานนามว่าเป็นสุสานที่มีคนมาเยี่ยมมากที่สุดในโลก

เอาหล่ะค่ะ เที่ยวไปๆมาๆ ชมทั้งสวนทั้งสุสานเสียเป็นที่เรียบร้อยโรงเรียนฝรั่งเศสแล้ว ทีนี้เราก็เกือบพาทุกท่านมาถึงตอนจบของกรุงปารีสแห่งนี้แล้วสิค่ะ เอาไว้ตอนหน้าเดี๋ยวจะพาไปเก็บตกเล่าเรื่องเปิ่นๆคร่าวๆให้ฟังกันค่ะ อย่าเพิ่งเบื่อนครหลวงแห่งนี้นะค่ะ อีกแค่ตอนเดียวเท่านั้นก็จบแล้วค่ะ ไว้ติดตามกันต่อไปตอนหน้า วันนี้ขอลาไปก่อนแต่เพียงเท่านี้ค่ะ

ถึงเวลาช๊อปซ่ะแล้วสิ

ก็เมื่อมาถึงเมืองแฟชั่นอย่างนี้จะไม่ให้พูดซักนิดเกี่ยวกับการช๊อปก็คงไม่ไหว ฉะนั้นเอาสักนิดไว้ล่อน้ำลายกันสักหน่อย ถึงแม้ว่าช่วงเดือนสิงหานี้จะไม่ต่อยน่าช๊อปเท่าไหร่ เพราะบรรดาร้านรวงเล็กๆต่างก็หยุดพักร้อนไปเที่ยวทะเลตามๆกัน แต่เราก็าเลยได้ไปดูแต่ร้านใหญ่ๆ แอบแต่งตัวดีดีไป window shopping เอามันส์กันสักเล็กๆน้อยๆ ให้เพลินๆแล้วจะได้ไปคุยกะเค้าได้ว่าที่นี่เค้ามีอะไรขายบ้างค่ะ

Champs Elysee's

แถบแรกที่คนนิยมไปเดินก็คือถนนคุณชองมป์ หรือ Champs Elysee’s ซึ่งตัดผ่านจากประตูชัยอันใหญ่มาอีกทีค่ะ ที่นี้เป็นแหล่งรวมร้านค้าหรูไฮโซระดับโลก ทั้งร้านหลุยส์ ร้านดิออร์ ชาแนล ล้วนเรียงรายล่อต่าล่อใจนักท่องเที่ยวเป็นอย่างยิ่ง ก็จะไม่ให้หะรูหะราได้ยังไงค่ะ วงในกระซิบบอกมาว่าค่าเช่าต่อปีสูงถึง 1.5ล้านดอลล์ เชียวค่ะ ฉะนั้นใครที่ไปอยู่นั่นได้เรียกว่า ม่ายทำมะดา เดินแถวนี้ก็อย่าแปลกใจที่บางทีจะรูสึกว่าตัวเองหลงมาอยู่ในฮ่องกง จริงๆค่ะ เพราะว่ามองๆไป คนเดินส่วนมากเป็นคนหัวดำหน้าเหลืองเหมือนเราชาวไทยเนี้ยแหล่ะค่ะ ก็พอจะเข้าใจอ่ะนะค่ะว่าบรรดาทัวร์จีน ทัวร์ญี่ปุ่น เกาหลี มักจะปล่อยนักท่องเที่ยวให้ลงช๊อปกันที่นี่อย่างสะใจกระเป๋าจุยแหลกกันไปข้างหนึ่ง แต่ก็อย่างว่าแหล่ะค่ะ ค่าเช่าแพงขนาดนี้ ข้าวของก็ต้องแพงไปด้วย ฉะนั้นอยากซื้ออะไรก็คิดให้ดีดีนะค่ะ เพราะที่นี่แม้แต่ของธรรมดายังถูกปั่นราคาซ่ะแพงเว่อร์ มาคราวนี้เลยได้แต่มองคนหัวดำถือถุงหลุยส์สี่ห้าถุงคนเดียวไปพลางๆ พร้อมกับตาแดงก่ำด้วยแรงเพลิงริษยาค่ะ (อันนี้เว่อร์เองค่ะ อย่าเพิ่งคิดมาก)

 

มาต่อกันที่แถบท่องเที่ยวสำคัญเช่น Louvre ดีกว่าค่ะ แถวนี้มีถนน Saint-Honore’ ตัดผ่านข้าง Louvre อย่างพอดิบพอดี ว่ากันว่าถนนนี้มีมานานตั้งแต่สมัยยุคกลางแล้วเชื่อมั้ยหล่ะค่ะ ก็แหมสำคัญซ่ะขนาดนี้ ตัดผ่านปราสาทราชวังหลายต่อหลายแห่งซ่ะขนาดนั้นจะให้ว่าโกหกก็คงจะเกินไปละค่ะ ถนนเส้นนี้มีร้านทั้งไฮโซและกะไฮซ้อปนอยู่ด้วยกันค่ะ ที่ว่าไฮซ้อ ไม่ได้หมายความว่าของปลอมนะค่ะ แต่ว่าเป็นระดับที่ลดลงมากว่าไฮโซนิดนึง ราคาก็พอซื้อหามาจ่ายได้ไม่ลำบากแบงค์ตัวเองเกินไป  ทั้งนี้ที่หลักๆและนิยมกันมากก็คือ Longchamp หรือ Cartier อะไรเทือกๆนี้ค่ะ ที่สำคัญมีร้าน Benelux ตั้งอยู่ตรงข้ามกับ

Rue Saint Honore'

ทางเข้า Louvre พอดิบพอดี ร้านนี้ค่อนข้าง recommend ค่ะ เพราะว่าเค้าให้สิทธิพิเศษกับคนไทยก็ช่วยไม่ได้ค่ะ คนไทยเป็น

Benelux in Paris

เจ้าของนี่ค่ะ แบบว่าพอเดินเข้าไปที่ชั้นหนึ่งของร้านที่เต็มไปด้วยพนักงานต้อนรับหัวทองๆ เราจะเห็นได้ทันทีค่ะว่ามีป้ายภาษาไทยเขียนติดประมาณว่าคนไทยเชิญชั้นสอง ด้วยความอยากรู้และอยากเห็นจัด เลยตามขึ้นไปทันทีค่ะ ปรากฏว่าคนขายหัวทองเปลี่ยนเป็นหัวดำกันหมดซ่ะนี่ ปนๆกันไปทั้งไทยทั้งจีน ต่อรองราคากันสนุกปาก นอกจากนี้ยังมีข้อมูลการขอลดหย่อนภาษีขาออกไว้บริการนักท่องเที่ยวไว้อย่างครบครันอีกด้วย สินค้าที่ขายก็ไล่เรียงกันไปตั้งแต่ปากกา Mont Blanc เครื่องสำอางค์brand name ไปจนถึงกระเป๋าLouis กระทั่ง Longchamp เรียกได้ว่าถ้าเพื่อนพี่น้องคนไหนฝากซื่ออะไรก็มาดูที่นี่ได้ค่ะ one stop ได้หมดทุกอย่าง ที่พูดมานี่ไม่ได้ซื้อหรอกนะค่ะ บอกแล้วไงว่าไป window shopping เฉยๆค่ะ

 

ถัดจากร้าน Benelux ออกมาทางทิศตะวันออก เมื่อเดินเรียบถนนเดิมไปเรื่อยๆก็จะเจอห้างสรรพสินค้ามากมายค่ะ ทั้งเครื่องนุ่งห่ม จนถึงพวกของแต่งบ้าน แต่เพราะว่าช่วงนั้นเป็นหน้าร้อน รองเท้าผ้าใบเบาๆจะหมดฤดู เค้าเลยเอามาโละขายกันให้เราเลือกชมอย่างสนุกนาน ทั้ง Addidas ทั้ง Puma หรือ Onisuka Tiger ราคาก็ไม่แพงค่ะ บางคู่ไม่ถึง 50 ยูโรด้วยซ้ำไป ฉะนั้นใครเผอิญไปปารีสช่วงนั้นก็เผื่อที่ในกระเป๋าไว้เก็บร้องเท้าหน่อยก็ดีค่ะ

Fauchon

Fauchon in Paris

นอกจากร้านค้าช๊อปปิ้งพวกนี้ก็ยังมีห้างใหญ่น้อยขายขนมเป็น department store เลย เช่น Fauchon หรือ Hediard ซึ่งอยู่แถว Place de Madelene ค่ะ การไปก็ง่ายแสนง่ายนั่ง Metro ของกรุงปารีสไปลงที่ Place de Madelene ก็จบ โผล่มาปุ๊บก็เห็นห้างป็บเลยทันที ยังไงก็ลองไปดูค่ะ ที่นี่มีของน่าากินหลายอย่าง ขนมเขนิมแกก็เข้าใจจัดใส่กล่องไว้อย่างกระจุ๋มกระจิ๋มสวยงามราวกับเป็นกล่องเครื่อง

Hediard

สำอางค์ยังไงยังงั้น เหมาะสำหรับการนำไปเป็นของฝากให้กับบรรดาเพื่อนฝูงเป็นอย่างยิ่ง แต่ว่าราคานี้แพงจนขำไม่ออก ไอ่เราก็เลยได้แต่เป็นหมาคอยเห่าเครื่องบินนอนรออยู่บ้านให้คนซื้อมาฝากน่าจะดีกว่าค่ะ

 

ขนมหวานมาแล้วจ้า

หลังจากที่พาไปทานอาหารมื้อใหญ่ๆกันมาแล้ว คราวนี้เรามาดูกันดีกว่าว่าที่นี่มีร้านขนมอะไรน่าสนใจกันบ้าง ก่อนอื่นก็เครียมท้องให้พร้อม พร้อมกับเตรียมใจให้พอ สำหรับร้านขนมที่จะพาทุกท่านไปชม ไปชิม กันดีกว่าค่ะ

ร้านแรกเลยเป็นร้านขาย Macaron หรือที่เรียกๆกันว่า มาคาโรน นั่นแหล่ะค่ะ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมที่นี่เค้าถึงมีร้าน macaron (อ่านว่า มากาคฮ์ง) ให้เลือกชมชิมมากมาย จนดูหมือนว่าจะกลายเป็นขนมประจำเมืองไปเสียเนี่ แต่ว่าเอาเหอะค่ะ ตามสไตล์คนกินน้อย (เหรอ)อย่างเรา เราก็ตามไปกินเจ้านี่ กันก่อนที่ร้านPierre Herme

Macaron at Pierre Herme

ร้านนี้เป็นร้านเล็กๆค่ะ แต่ว่ามีหลายสาขา ได้ข่าวว่าเจ้าของเค้าเคยเป็นคนทำ Macaron ขายที่ร้านดังแห่งหนึ่ง(ขอไม่บอกเพื่อความเป็นส่วนตัวค่ะ) แต่ต่อมาก็แยกออกมาเปิดร้านเอง พร้อมกับคิดสูตรเพิ่ม จนขายดีเป็นเทน้ำเทท่าอย่างทุกวันนี้ นอกจากนี้วันดีคืนดี แกยังเปิดให้มีการบริจาคเงินเพื่อแลกกับขนมของแกกี่ชิ้นก็ได้อีกด้วย แล้วแกก็จะนำรายได้วันนั้นไปบริจาคให้องค์กรการกุศลต่างๆ นับว่าน่าสนับสนุนเป็นอย่างยิ่ง เราตามกันไปเพราะอาเจ๊สุดน่ารักที่อยู่ปารีสมานานสองนานแกแนะนำแถมพาไปอีกด้วย เราเลยจัดการซื้อมากันกันหนึ่งกล่อง แล้วมานั่งละเลียดแบ่งกันกัดไปๆมาๆ หน้าสวน Tuillerie ค่ะ ที่ลองกันก็มีพวก Rose กะ Lychee แล้วก็อะไรอีกจำไม่ได้ แต่รู้สึกได้ว่ารสมันหวานหอม กลมกล่อมกำลังดี แถมเจ้า Macaron ก็ยวบๆดี ใช้ได้ๆ ไม่เสียแรงที่เสียตังค์ไปตั้งหลายยูโรเพื่อกินไม่กี่อัน เอาเหอะค่ะ ไหนๆมาแล้วก็เสียซักหน่อยจะเป็นไรไปใช่ม่ะหล่ะ จัดการให้ร้านนี้ไปเลยสี่ดาว หักไปซะหนี่งโทษฐานที่แพงมากกกก สำหรับใครที่อยากรู้อยากชิมก็ลองแวะไปดูที่เว็บเค้าค่ะ

Patisserie S. Aoki

ร้านที่สองก็ไม่พ้นเจ้า Macaron อีกแหล่ะค่ะ แต่ว่าร้านนี้เป็นของคุณยุ่นเชียวน่ะชื่อว่า Patisserie Sadaharu Aoki ไปถึงปุ๊บรู้ได้เลยว่าเป็นร้านญี่ปุ่น ไม่เพียงแค่ชื่อเท่านั้น ทั้งสไตล์แต่งร้านมันบอกอยู่ชัดๆ ทั้งร้านสีขาว มีสีเขียวต้นไผ่ปนๆ อาเจ๊คนเดิมบอกมา ว่าเป็นหนึ่งในสุดยอด Macaron ฉะนั้นจะให้เราพลาดได้ยังไงหล่ะค่ะเลยจัดการเรียบร้อยไปอีกหนึ่ง   บริเวณที่ตั้งก็ไม่ไกลจาก St. Michel เท่าไหร่ค่ะ แค่ต้องเดินไปซักสิบห้านาทีเท่านั้น ที่ๆเราสั่งกันก็คือ Green Tea Macaron ค่ะ เรียกว่าสุดยอดเรยครับท่าน กลิ่นหอมๆขมๆพอดิบพอดี เนื้อครีมก็นุ่มนิ่มไม่เละ ไม่แข็งจนเกินไป เรียกว่ามากมายจริงๆกะร้านญี่ปุ่นร้านนี้ ถ้าไม่ได้อาเจ๊รับรองว่าไม่มีวันหาได้ จำได้ว่าเราซื้อไปนั่งกินกันที่ Jardin de Luxembourg

ไปต่อกันร้านที่สามค่ะ ร้านนี้ได้ข่าวว่ามีสาขาที่เซ็นทรัลชิดลม แต่ว่าตัวเองก็ยังไม่ได้ไปลองชิมแล้วเทียบว่ามันเป็นยังไง แต่ที่ปารีสนี้ถือว่าเป็นร้านสุดหรูร้านหนึ่งเลย ก็ Cafe Angelina ดันตั้งอยู่ใกล้ๆ Louvre แถมยังติดกะสวน

Mont Blanc at Cafe Angelina

Tuillerie ฉะนั้นแล้วเราก็ต้องมาฝึกรับประทานขนมหวานให้ได้เยี่ยงผู้ดีฝรั่งเศสค่ะร้านนี้ต้องไปสั่งแล้วมานั่งกิน ภายในตกแต่งอย่างหะรูหะรามากส์ เก้าอี้ขอบทอง โต๊ะแบบหลุยส์ เห็นจะมีอยู่ที่นี่แหล่ะค่ะ จริงๆแล้วแกขายทั้งอาหารคาวหวาน แต่พอดีเรางบไม่พอเลยตัดใจกินแต่อาหารหวานไปก่อน อาเจ๊เลยจัดให้ พาเราไปดื่มช๊อกโกแล๊ต ร้อน พร้อมกับเค้ก ขนม ของหวานต่างๆที่ต้องไปเดินเลือกที่หน้าตู้ขนม ที่นี่ถือว่าเวิร์กค่ะถ้ามีเวลา และที่สำคัญ มีเงิน เฮ้อๆๆๆ พนักงานเสิร์ฟบริการก็ดี เราก็เลยลัลล้าทำตัวเป็นผู้ดีนิดหนึ่ง กินช๊อกโกแล๊ต จิบชา กินเค้กโอค่ะ

สุดท้ายขอรีวิวร้านเค้กอีกร้านหนึ่ง ร้านนี้อาเจ๊แกบอกมาว่าเด็ด ชื่อร้าน Bread and Roses รู้แค่ว่าอยู่แถว St. Michel นั่นแหล่ะค่ะ ฉะนั้นก็เลยเดินไปซื้อ Mille Feuilles แล้วหอบเอา

Millfeuilles

ไปกินในสวนแถวๆนั้น millfeuilles นี้อร่อยค่ะ ไม่หวานจัด รสกลมกล่อมกำลังดี เนื้อแป้งกรอบๆแตกออกมาเป็นแผ่นๆ คล้ายๆกับใบไม้เล็กๆที่ค่อยๆร่วงทีละน้อย สมกับชื่อ Millfeuilles (แปลว่าพันใบ) นอกจากนี้คุณเพื่อนก็เลือกเอา  berries tiramisu มาลองกัน รสชาติเปรี้ยวอมหวานเข้ากันได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อกับเนื้อครีม Tiramisu นุ่มๆ เหมือนกับค่อยๆลอยขี้นไปบนสวรรค์สมกะชื่อ Tiramisu ซึ่งเป็นภาษาอิตาเลียนแปลว่า “ดึงชั้นขึ้นไปให้สูงขึ้นทีสิจ่ะ” พูดไปพูดมา เราซื้อขนมเสร็จก็หอบเอาไปกินกันที่ Jardin de Luxembourg แถวๆนั้นเราก็ชิวๆกินๆไปเรื่อยๆ พร้อมๆกับดูนก ดูน้ำ ดูคน แต่จริงๆแล้วจะนั่งกินในร้านก็ได้ค่ะ เค้าก็มีที่นั่งให้เราอยู่เหมือนกัน ส่วนเค้กอื่นๆของเค้าก็น่าทาน ถึงจะไม่ได้ลองก็เหอะค่ะแต่เห็นอาเจ๊แกบอกว่าเด็ด 😀

Bertillon's Ice Cream

เสร็จจากพวกนี้แล้วอิ่มกันขี้นบ้างละยังค่ะ ถ้ายังเราไปหาไอติมกินกันเหอะค่ะ เพียงแค่เดินข้ามสะพานมายังเกาะ Ile de Saint Louis ที่ตั้งอยู่เบื้องหลังของ Ile de la Cite’ เราก็จะพบว่าอยู่ในดงของร้านไอติมจริงๆ ก็เกาะนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างว่าเกาะ Berthillon (อ่านว่า แบร์กติลยอง) ค่ะ ตามร้านสุดยอดไอติมของนคร Paris ค่ะ และก็เพราะเหตุนี้เองจึงมีบรรดาพ่อค้าหัวใสรับเอาไอติมจากร้านนี้มาขายที่หน้าร้านตัวเอง จนทั้งเกาะเต็มไปด้วยไอติม Berthillion ค่ะ ซึ่งเทคนิคนี้ใช้ได้ผลดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนสิงหาที่เราไปเนี้ยแหล่ะค่ะ เพราะว่าร้าน Berthillon ของแท้ แกเกิดหยุดพักร้อนขึ้นมาตลอดเดือน ฉะนั้นใครอยากกินสุดยอดไอติมก็ต้องตระเวณไปดูที่ร้านอื่นๆในเกาะค่ะ คราวนี้ก็เช่นกัน เราไม่ได้ไปกินที่ร้านดั้งเดิมของมันหรอก แต่ว่าเดินๆดูว่าร้านไหนคนค่อคิวยาวแล้วราคาโอเคกว่าเพื่อน สรุปแล้วก็คือว่าได้กินกันคนละลูกเป็นไอติมผลไม้แบบ เชอร์เบ็ท ค่ะ ก็อร่อยดี เปรี้ยวๆ หอมๆ  กำลังอินได้พอดี แต่ต้องรีบทานหน่อยนะค่ะ เพราะว่าช่วงหน้าร้อนไอติมละลายเร็วมากๆ ไม่ทันไรก็กองไปเปื้อนอยู่ในมือเป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ สำหรับใครที่อยากลองของจริงก็ไปดูเวลาวันอยุดกันได้ที่เว็บแกนะค่ะ

เอาหล่ะค่ะบรรดาขนมของว่างก็พากันไปชวนเชิญชิมมาบ้างแล้ว หวังว่าจะถูกใจนักผจญภัยกระเป๋าแห้งอย่างเราๆกันนะค่ะ คราวหน้าจะเว่าเรื่องอะไรไว้ติดตามอ่านกันต่อไปนะค่ะ พูดถึงขนมนมเนยก็แอบอยากกินขี้นมาซะแล้วสิ ไปหาอะไรม๊าบแถวนี้ดีก่า วันนี้ขอตัวไปก่อนละค่ะ

 

ชวนลิ้มชิมรส

หากจะบอกใครๆว่าไม่ได้กินอาหารดีดีในปารีสเลยยยย ก็คงจะผิดหนึ่งในวัตถุประสงค์ของการมาเที่ยวครั้งนี้ ฉะนั้นแล้ว เราจึงขอยืมภาพงามๆจากคุณเพื่อนที่คุณเธอเอาไปโพสต์ประจานไว้ใน facebook มาให้ทุกท่านได้รับชม เพื่อสร้างจินตรส(รสที่เกิดจากจินตนาการ) ให้ทุกคนได้เคลิ้มไปด้วยกันด้วยค่ะ  อย่างไรก็ดี อย่าเพิ่งคาดหวังว่าจะตะลุยกินไปกันหมดทุกที่นะค่ะ เพราะงบประมาณอันน้อยนิดทำให้เราต้องทำอาหารเองซะเป็นส่วนใหญ่ แต่ที่พอจะไปกินได้ก็มีคน recommend  มาทั้งนั้นค่ะ ฉะนั้นแล้วก็ตามไปดู ไปชม ไปชิม กันเรยละกันค่ะ

ร้านแรก คือร้านChez Clement (แปลว่า ที่บ้านของคุณเคลม๊อง) บนถนน Champs Elysee’ อันลือนามร้านนี้เป็นหนึ่งในร้านหฝรั่งเศสที่ไฮโซโอ้โหมากมากมาย พร้อมการเอาช้อนส้อมเงินขัดมาแต่งร้านรับกับสีเขียวอมขาวปนชมพูอ่อนๆให้ความรู้สึกน่านั่งแนวย้อนยุคนิดๆยังไงยังงั้น ก็เพราะบอกแล้วว่าไฮโซ

French Escargot

ฉะนั้นก็มากับบริการดีเยี่ยม สมกับเป็นผู้ดีฝรั่งเศสกันเรยหล่ะค่ะ ไปถึงปุ๊บบอกเค้าว่ามากันกี่คนเค้าก็จะพาไปนั่งกันถึงที่เลยทีเดียว แล้วค่อยเอาเมนูมาให้สำหรับใครที่อ่านภาษาฝรั่งเศสไม่ออกก็ไม่ต้องกังวลว่าจะสั่งอาหารไม่รู้เรื่อง เพียงแค่พนักงานเค้าเห็นหัวดำๆดูเหร่อๆหร่าๆ เค้าก็รีบเอาเมนูภาษาอังกฤษมาให้กันแล้วแหล่ะค่ะ และก็แน่นอน ตามธรรมเนียมฝรั่ง ขนมปัง น้ำเนิ้ม แล้วก็เนยสด จะค่อยๆทะยอยกันมาเสิร์ฟหลังจากที่เราสั่งอาหารในเมนูเสร็จแล้ว ทีนี้ก็ได้แต่รอเวลาที่อาหารจานน้อยๆของเราจะมาถึงกันซักที มาปุ๊บซัดปั้บตามมรรยาทไทย สั่งอะไรกันมาบ้างก็จำไม่ได้แต่รู้ว่าอร่อยค่ะ ที่แน่ๆคือไม่พลาดกินเจ้าหอยทากฝรั่งเศสที่เค้าเรียกกันว่า Escargot เลยสั่งกันมาเป็น appetizer รสชาติครีมๆมันๆ ออกเนยๆหน่อยๆ กินกับขนมปัง ชุ่มฉ่ำกำลังดีเชียวค่ะ แต่ที่ต้องคอยลุ้นก็คือว่าจะแคะตัวหอยทากออกมาทั้งตัวได้รึเปล่า อันนี้ลุ้นสุดๆ นอกจากนั้นก็สั่งไก่สั่งปลา มากินกับมันฝรั่งทอดที่มีขนาดใหญ่กว่า French Fries ใน McDonald หลายเท่าตัวค่ะเอาเป็นว่ามื้อกลางวันนั้นอิ่มกันไปเรย แต่อิ่มมากจนไม่ค่อยอยากกินข้าวเย็นแล้วหล่ะสิ ใครสนใจอยากรู้จักร้านตัวเป็นๆก็ไปดูที่เว็บแกละกันค่ะ แต่ขอเตือนสักนิดว่าร้านนี้ราคาไม่ธรรมดาอาจจะแพงสักนิดสำหรับคนกระเป๋าแห้งอย่างเรา แวะไปทานตอนกลางวันละกันค่ะ จะได้ราคาถูกลงมานิดนึง

ถัดไปที่เราไปลองชิมลัลล้ากันดูก็คือร้านร้านไก่ดำ ตามที่พี่ๆคนไทยใน Paris ตั้งชื่อให้ ร้านนี้เดิมเป็น

ข้าวไก่ดำ

ร้านอาหารแอฟริกันขายไก่ย่าง ซึ่งออกมาจะเป็นสีดำๆ แต่ต่อมาถูกครอบครัวชาวจีน take over แล้วเอามาปรับปรุงทำเป็นร้านอาหารฝรั่งเศสเสียนี่ แต่ก็ยังคงเมนูข้าวไก่ย่างไว้อยู่ตามเดิม ฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ว่าทำไมร้านนี้จึงยังเป็นที่ขนานนามว่าไก่ดำต่อมาจนถึงปัจจุบันค่ะ ตัวร้านจะตั้งอยู่บริเวณ Montrepenass ซึ่งเป็นหนึ่งในตึกที่สูงที่สุดของ Paris บริเวณนั้นจะมีห้างชั้นนำ พร้อมกับมีร้านไก่ดำที่ว่าเนี้ยตั้งปนปนอยู่ด้วยค่ะ โดยปกติแล้วอาหารกลางวันส่วนใหญ่ที่นี่จะมีทั้งที่รวมเป็นเซ็ต combo มาให้ แต่ว่าบางทีก็มีเหมือนกันค่ะที่ว่าเราสามารถสั่งออกมาเฉพาะอย่างได้ ก็ต้องดูๆกันไปค่อ เพราะบางทีอันที่เป็น combo ซึ่งรวมทั้ง apperizer, main, dessert ก็น่าสนใจอยู่ แถมยังประหยัดกระเป๋าตังค์อีกด้วยค่ะ ที่เราๆสั่งกันมาก็มีตั้งแต่หอยทากอบ ต่อด้วย ข้าวไก่ดำ แล้วตบท้ายด้วย crème brulle’ ค่ะ จำได้ว่าไม่น่าเสียเกิน 20 euro เท่าที่ดูๆร้านนี้อาหารใช้ได้ แต่ว่าก็ไม่ได้ถือว่าสุดยอดเสียทีเดียว บริการยังคงเป็นแบบร้านจีน คือส่งๆ ไม่ได้พิถีพิถันมากมายอะไร แต่ว่าก็โอเคในระดับ family run ค่ะ แต่ถ้าอยากชิมหอยทาก ก็อยากบอกว่าอย่าสั่งที่นี่เลยจะดีกว่าค่ะ เพราะเค้าอบหอยแห้งเกินไปจนติดเปลือก ทำให้เอาออกยาก และไม่ชุ่มฉ่ำค่ะ แต่ข้าวไก่ย่างนี้ก็อร่อยดีค่ะ ราดซอสสีเขียวๆ กินแล้วคิดถึงไก่ย่างบ้านเรา นี้ถ้าเอาแจ่ว กะข้าวเหนียวไปด้วยคงมีเปิบกระติ๊บโชว์ฝรั่งอยู่เหมือนกันค่ะ นอกจากนี้แล้วของหวานก็โอเค ไม่ได้ดีเวอร์อะไร แต่ว่าก็สมน้ำสมเนื้อกับราคาค่ะอยากรู้เรื่องต่อต้องตามไปดูลิงก์ในเว็บสมาคมนักเรียนไทยในปารีสกันนะค่ะ

เอาหล่ะค่ะ กินอาหารฝรั่งๆปนจีนๆกันไปแล้ว ไปกินอาหารเอเชียในกรุงปารีสกันบ้างดีกว่าค่ะ จริงๆแล้วที่นี่เอง

ซูชิกะปลาย่าง

ก็มีร้านเอเชียอยู่เยอะไม่หยอกเลยค่ะ ทั้งญี่ปุ่น จีน เกาหลี ไทย เวียดนาม อยู่กันอย่างปนๆ แล้วก็ชอบมาตั้งอยู่เป็นกระจุกเดียวกันอีก แต่วันนี้ที่จะพามาดูก็คือร้านญี่ปุ่น สไตล์ของแท้ดั้งเดิมในปารีสค่ะ ร้านนี้จะว่าไปก็ไม่ได้อยู่ไกลจาก Louvre เท่าไหร่ เพียงแต่ต้องรู้ซอยว่าเดินไปทางไหนดี ก็วันนั้นมีไกด์เป็นอาเจ๊ผู้ใจดีหนิค่ะ ไปไหนเราก็ไม่กลัว ร้านนี้ชื่อว่า Foujita ซึ่งก็คือภูเขาไฟฟูจิ เปล่าค่ะ ล้อเล่น ไม่รู้หรอกค่อว่าแปลว่าอะไร เราไม่ใช่เซียนญี่ปุ่นซักหน่อย แต่เอาเป็นว่าร้านนี้มีของแปลกก็คือมีคนอินเดียเป็นคนทำซูชิค่ะ สวนทางกับบรรยากาศและหน้าตาเจ้าของร้านที่ออกจะเป็นญี่ปุ๊นญุ่ปุ่น แต่ฝีไม้ลายมือการทำอาหารก็ไม่เลวเลยค่ะ รสชาเขียวขมนิดกำลังดี กินแล้วชุ่มคอ ตัดกับรสหวานๆของเนื้อปลาสดสด ที่ยังรู้สึกว่าเด๋งดึ๋งๆอยู่ในปาก กินไปเม้าธ์ไป เรื่อยๆ อย่างได้อารมณ์ เอาเป็นว่าถ้าวันไหนเบื่อรสเลี่ยนๆของฝรั่งก็ค่อยมากินอาหารเอเชียเปลี่ยนบรรยากาศแล้วกันค่ะ เดี๋ยวคนเค้าจะหาว่ามาไม่ถึงฝรั่งเศส ใครอยากไปลองของจริงไปดูข้อมูลเพิ่มได้ที่เว็บแกนะค่ะ

นอกจากที่จะไปนั่งกินเป็นกิจจะลักษณะในบรรดาร้านอาหารจริงๆจังๆแล้ว เราก็ไปกินอาหารฝรั่งเศ้สฝรั่งเศสแบบพวกเครปตามข้างทางอยู่เรื่อยๆค่ะ เจ้าประจำที่กินมาสองสามครั้งไม่ผิดหวังก็คือเจ้าที่อยู่แถวจตุรัส St. Michel ที่ประจำแถว Lain Quartier นั่นเองค่ะ ที่บอกว่ากินเป็นประจำก็ด้วยสาเหตุ

crepe

หลายประการด้วยกัน ทั้งที่ตั้งทำเลดันมาอยู่แถวจุดนัดพบกับคุณเพื่อนอยู่บ่อยๆ แถมว่าอยู่ติดกับร้านหนังสือ Gibert Jeune เวลาไปแอบอ่านหนังสือนิยายฟรีที่หน้าร้านเพลินๆ กลิ่นหอมๆของเครปก็มาเตะจมูกจนหัวคะมำไปหลายรอบ ยังงี้แล้วจะห้ามขาห้ามปากไม่ให้เดินไปจ่ายเงินซื้อเครปได้ยังไงเล่าค่ะ แต่ถึงจะไปประจำก็เถอะค่ะ จำชื่อร้านเองก็ไม่ค่อยจะได้ รู้แต่ว่าอยู่ข้างๆกะ Gibert Jeune ตรงที่มีนิยายภาษาอังกฤษค่ะ แต่หาไม่ยากค่ะ กลิ่นนี้โชยมาแต่ไกล ใครจะเดินตามไปดูพอเห็นแล้วช่วยมาโพสต์บอกหน่อยนะค่ะ มาแบ่งๆกันค่ะ ที่นี่มีให้เลือกทั้ง crepe แบบหวาน และแบบเค็ม แบบหวานก็เป็นพวกเนย น้ำตาล ช๊อกโกแล๊ต แยม อะไรประมาณนี้ค่ะ เค้าถือว่าเป็นของกินเล่น แต่ใครหิวจริงจังก็ต้องนี้เลยค่ะเครปเค็มๆมันๆอย่าง Crepe ham cheese หรือ smoked salmon ก็มีให้เลือกจะให้ดี เอาแบบ double ไปเลยค่ะ เพิ่มไข่เข้าไปอีก รับรองอิ่ม สนนราคาก็ไม่แพง ไม่เกิน 5 ยูโร แต่ว่าที่นี่ถือกินนะค่ะ ถ้าอากาศดีดีเดินเอาไปกินชิวๆแถวน้ำตกตรง St. Michel ก็ได้ค่ะ บางวันก็จะมีคนมาเล่นคอนเสิร์ตเปิดหมวกอยู่ด้วย ถือว่าเสียเงินค่าอาหาร แต่ไม่ต้องเสียตังค์ค่าบรรยากาศค่ะ

นอกจากร้าน crepe นี้แล้วเราก็พากันไปหาไรกินแถว la marais ด้วยค่ะ แถบนี้เป็นแถบที่สิงสถิตย์ของบรรดาชมรมคนชอบป่าไม้เดียวกัน ฉะนั้นแล้วมักมีอะไรแฟนซีๆมาให้เห็นกันอยู่บ่อยๆทั้งลักษณะการ

Falafel

แต่งร้าน หรือบรรดาข้าวของในร้าน ใครว่างก็มาเดินดูกันได้ค่ะน่ารักดี แต่ว่าวันนี้จุดประสงค์หลักคือมากินฟาลาเฟลที่ L’As du falafel ซึ่งเป็นหนึ่งในร้านดังของที่นี่ จะว่าไปเดี๋ยวนี้ก็เริ่มมี falafel หรือ Kabab ขายที่เมืองไทยแล้วเหมือนกันนะค่ะ มันเป็นอาหารจากตะวันออกกลางรวมไปถึงแถบตุรกี อะไรเทือกๆนี้แหละค่ะ ทั้งนี้ falafel จะประกอบไปด้วยแป้งคล้ายๆแป้งนาน ของอินเดีย แล้วเค้าจะเอาใส้ต่างๆ ทั้งผักเอย เนื้อเอย ใส่เข้าไปด้วยสารพัด แล้วก็ม้วนๆห่อๆกับกระดาษฟอยล์ อีกที ถึงยื่นส่งมาให้เรากินได้ค่ะ ที่ว่าตั้งใจจะมากินร้านนี้โดยเฉพาะเพราะว่าอาเจ๊คนเดิมแกแนะนำมาอีกที แล้วจะปล่อยให้ท้องให้ปากทรมานได้เชียวหรือค่ะ ฉะนั้นแล้ว เราก็เลยจัดให้ ไปกินกัน ไปถึงปุ๊บมีคนเข้าคิวสั่ง falafel อยู่ก่อนหน้าซักสามสี่ราย แล้วมีผู้ชายยืนโฆษณา แล้วก็แจกบัตรคิวมาให้ด้วยอยู่ตรงนั้น แกก็จะถามเลยว่าเอาอะไร ไก่ หรือเนื้อ แล้วใส่ผักหมดมั้ย ถ้าใครไม่กินผักอะไร เช่นหอมแดง หรือมะเขือเทศก็บอกแกไปด้วยเลยซะที่นี่ แกจะได้ไปบอกคนทำถูก รอซักแป็บก็ได้แล้วค่ะ เดินถือกินพร้อมกับดูของไปพลางๆ รสชาติก็โอเค แต่สำหรับคนไม่ชินอาหารแขก ก็อาจไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ค่ะ ถือว่ามาลองดูละกันราคาก็ไม่แพงอะไร เรียกว่าจ่ายได้ไม่เสียดายค่ะ ใครอยากรู้ว่าไปยังไงก็ตามไปกันได้ที่นี่ค่ะ

สำหรับวันนี้กินอิ่มแปล้จนหนังท้องตึงไปหลายรอบแล้ว ฉะนั้นก็ขอราตรีสวัสดิ์ ฝันดีกับทุกๆคนค่ะ เพราะว่าตอนนี้หนังตามันเริ่มหย่อนลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วหน่ะสิ คราวหน้าเดี๋ยวจะพาไปกินของหวานล้างคาวปากกันต่อดีกว่านะค่ะ

 

ไปดูพิพิธภัณฑ์กะอาร์ตแกลเลอรีกัน

เอาหล่ะค่ะ เราเดินทางมาถึงนครหลวงแห่งพิพิธภันที่ใหญ่ที่สุดในโลก ฉะนั้นจะให้อดตาอดใจทนไม่ตามไปเยี่ยมชมบรรดาเคหะสถานที่บรรจุภาพสวยๆ งานศิลปะงามๆ พร้อมทั้งโบราณวัตถุสำคัญๆต่างๆของโลกยังไงไหว ฉะนั้นวันนี้เรามาดูกันดีกว่าค่ะว่าที่ไหนมีอะไร ไปยังไง แล้วเป็นยังไงกันบ้าง ที่แรกเริ่มที่พิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดคือ Louvre ค่ะ

จำกันได้มั้ยค่ะว่าก่อนหน้านี้เราเคยพาทุกท่านมาเที่ยวเล่นกันบ้างแล้ว ก็ตอนที่มาทัวร์กับคุณไกด์ไงค่ะ แต่ว่าคราวนั้นแต่ได้เฉียดผ่านๆเท่านั้นไม่ได้เข้าไปดูข้างในจริงๆซะเมื่อไหร่ ฉะนั้นคราวนี้จัดให้ค่ะ ลอง

Louvre กะ Pyramid

เข้าไปดูข้างในกัน ก่อนอื่นก็ต้องขอขอบพระคุณคุณเพื่อนผู้ใจดีให้เรายืมบัตรนักเรียน เพื่อที่จะได้เข้าไปเดินดุ่มๆดูของสวยๆงามๆข้างในกันก่อน ที่นี่นะค่ะ ถ้าหากว่าเป็นนักเรียนและมีถิ่นที่พำนักในสหภาพยุโรป เค้าให้เข้าฟรีค่ะ ฉะนั้นแล้วด้วยเหตุนี้ เองคุณเธอเลยเอาบัตรเธอไว้ให้ใช้เผื่ออยากไปดูอะไรๆคนเดียว แต่ข้อควรระวังก็คือควรหาเพื่อนที่หน้าตาคล้ายคลึงกันหน่อยก็จะดีค่ะ เพราะถึงแม้ว่าเค้าไม่ได้เคร่งอะไรมาก แต่ว่ากันไว้เผือเค้าถามก็จะดีกว่าไม่น้อยเลยค่ะ เอาเป็นว่าอย่างน้อยๆ หาคนที่เพศเดียวกัน ผมผิวสีเดียวกันก็น่าจะพอผ่านไปได้ค่ะ

ไปถึงลูฟร์ปุ๊บ ฝนกลับตกซ่ะนี่ แถมคิวเข้าตรงพีระมิดกลางลานกว้างระดับพนนก็ยาวเหยียดอีก ฉะนั้นเราเลยหาทางซอกแซกไปเข้าอีกทางค่ะ เคล็ดก็คือว่าให้เดินไปเรื่อยๆเลียบกับบริเวณฝั่ง Saint Honere’ ที่ติดกับตัวอาคาร (ไม่ใช่ฝั่งด้านริมน้ำ Seine ค่ะ) เดินไปปุ๊บก็จะมีป้ายเขียนบอกว่ามีห้างสรรพสินค้าอยู่ข้างล่าง ชื่ออะไรจำไม่ได้แล้ว แต่ว่าสังเกตง่ายเพราะคนเยอะมาก เข้าไปปุ๊บจะเป็นห้างใต้ดินของพิพิธพัณธ์ มีทั้งร้านแอปเปิ้ล กระเป๋าไฮโซมากมาย พอเดินตามทางไปเรื่อยๆก็จะพบว่ามันพาเราไปเข้าคิวยาวเพื่อตรวจสัมภาระซึ่งจะพบว่าคนจีนเป็นกลุ่มๆมาต่อคิวส่งเสียงดังกันเต็มไปหมด ไม่

Pyramid กลับหัว

ต้องกลัวค่ะ พวกนั้นเค้ามากะทัวร์มีไกด์มาด้วย เค้าไม่ทำไรพวกเราหรอกค่ะ หากคิดว่าหาไม่เจอ หรือหลงทาง ก็ให้ถามๆหาพีระมิดกลับหัวค่ะ ก็แถวมันอยู่ใกล้ๆแถวนั้นหาไม่ยากเท่าไหร่ ต่อคิวเสร็จ เราก็ได้เข้าไปซื้อตั๋วซักทีหนึ่ง แต่เพราะคุณเพื่อนให้บัตรมาแล้ว แทนที่ต้องไปซื้อตั๋วผ่านตู้ เราก็ไปที่เค้าท์เตอร์ให้เค้าตรวจบัตรแล้วเราก็เข้าได้เรยค่ะ อ้อแล้วก็อย่าลืมหยิบเอาแผนที่มาด้วยนะค่ะ เดี๋ยวหาว่าไม่เตือน

เพราะว่าที่พิพิธภัณฑ์นี้ใหญ่มากจริงๆ ฉะนั้นเราไม่ควรเดินสุ่มสี่สุ่มห้าค่ะ โดยเฉพาะคนที่มาเดี่ยวๆอย่างพวกเรา อาจถูกฝูงชนเบียดเสียดจนตกบันไดก็ได้ ฉะนั้นแล้วค่อยๆเดินๆดูๆไปค่ะ หากมีภาพอะไรอันไหนอยู่ในใจก็ให้ถามเจ้าหน้าที่ว่ามันอยู่ตรงไหน เค้าก็จะบอกห้อง บอกตึกให้เราได้ไปดูค่ะ แต่ว่าถ้าไม่มีไอเดียก็เปิดกางแผนที่ดูว่าอะไรน่าสนใจบ้าง เช่น โมนาลิซ่า หรือห้องชุดจำลองของนะโปเลียน เค้าก็จะบอกค่อว่าอยู่ไหนยังไง นอกจากนี้ก็มีเจ้าหน้าที่ให้เราสอบถามอยู่ทั่วทุกระแหง ไม่ต้องกลัวค่ะ

Monalisa

ลูฟร์นี้จะดังในเรื่องศิลปะสมัยยุคกลาง และยุค renaissance ฉะนั้นแล้วภาพพวก fresco และ portrait เจ้าขุนมูลนายสมัยก่อนก็ยังมีให้ชมได้อยู่เรื่อยๆ ส่วนงานสถาปัตยกรรมก็มีหลากหลายทั้งที่เป็นแกะหินอ่อนรูปคน หรือสิงสาราสัตว์ เทพเจ้ากรีก นิยายปรัมปรา ให้เราดูไปเพลินๆได้เหมือนกันค่ะ แต่ที่นี่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีเพียงศิลปะยุโรปเท่านั้นนะค่ะ ยังเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก็บรักษาพวกของโบร่ำโบราณวัตถุจากทั่วทุกมุมโลก ตั้งแต่เสาสลักของอียิปต์ ไปจนถึงเครื่องปั้นของจีน ก็มีค่ะ ใครอยากถ่ายรูปอะไรก็ทำได้ค่ะ เพียงแต่อย่ามีแฟลชก็พอ ส่วนฝูงชนที่เดินตามกันมา ก็มีมหาศาล ก็อย่าเพิ่งรำคาญกันไปใหญ่ละกันค่ะ

ด้วยคอลเล็กชั่นที่ใหญ่ขนาดนี้เดินวันเดียวค่อยๆดูก็คงไม่น่าจะหมด แต่ที่สำคัญเลือกดูอันที่อยากดู

Musee' d'Orsay

จริงๆดีกว่าค่ะ เพราะว่าไม่งั้นเสียดายเวลาที่ต้องอดดูอันอื่นๆไปหมด แต่หากใครที่อินกับเรื่องพวกนี้ก็อย่าลืมแวะไปที่พิพิธภัณฑ์อีกแห่งด้วยนะค่ะ นั่นคือ Muse’e d’Orsay ที่นี่เรียกว่าเป็นแหล่งของศิลปะแนวโมเดิร์น ตั้งแต่แบบ Cubism ของปิกัสโซ่ ยุค Expressionism จนถึงยุคImpressionism ของMonet Manet Pissaro Renoir Decart Sisleyหรือแม้แต่ Van Gauh เองก็ตาม ก็คนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เคยพำนักอยู่ในกรุงปารีสมาแล้วทั้งสิ้นค่ะ ฉะนั้นแล้วผลงานที่ตกทอดมาก็มีให้เลือกชมอยู่ไม่ขาดตา ภาพที่เห็นก็ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับภาพที่ลูฟร์ ที่นี่ภาพจะดูมีชีวิตจิตใจ บางทีก็รู้สึกถึงน้ำหนักพู่กันสีน้ำมันที่ใส่ออกไปอย่างเอาเป็นเอาต่าย บางครั้งอารมณ์ของภาพผสมกับสีสันก็ทำให้ดูออกยากว่ามันเป็นอะไรกันแน่ ต้องค่อยๆดูแล้วปลงๆว่านี้คือ abstract art ของจริง แต่ถ้าจะเทียบแล้วโดยส่วนตัวแอบชอบที่นี่มากกว่าลูฟร์ค่ะ เพราะว่ามันดูรู้เรื่อง เข้าใจมากกว่า แล้วก็ค่อนข้างทันสมัยกว่าด้วย ก็ไม่ให้ทันสมัยไงไหวละค่ะ ภาพที่นี่เพิ่งวาดมาได้ไม่ถึงสองร้อยปีดีเลยนี่หน่า เอาเป็นว่าใครมีเวลาน้อยแล้วอยากเพลิดเพลินเจริญหูเจริญตาก็มาชมกันที่นี่แล้วกันนะค่ะ เท่าที่จำได้ถ้ามาตอนเย็นๆเค้าจะมีลดราคาให้ด้วยค่ะ ส่วนนักเรียนสังกัดสหภาพยุโรปก็เหมือนเดิมเข้าชมฟรี แต่ว่าโชว์บัตรที่มีรูปถ่ายให้เจ้าหน้าที่ดูก่อนอีกด้วย อ๋อ แต่ถ้าจะมากัน ก็มาเช้าๆหน่อยค่ะ คิวแอบยาวอยู่เหมือนกัน

นอกจากนี้แล้วแกลเลอรี่ที่อยากแนะนำให้ไปดูอีกที่คือMusee’ de l’Orangerie ค่ะ อยู่ในสวน Tuillerie หน้าลูฟร์นั่นเอง ที่นี่มีภาพ Lotus อันโด่งดันของ Monet อยู่ใครอยู่ในวงการห้ามพลาดเด็ด

ขาด เพราะที่นี่เรียกได้ว่าสุดยอดจริงๆค่ะ เป็นภาพขนาดใหญ่มากมาก

Monet's Waterlillies

ติดทั้งผนังห้องที่เป็นทรงวงรี แต่ละด้านของผนังก็มีภาพนี้แปะอยู่ แม้คุณ Monet จะวาดสระบัวหน้าบ้านเหมือนกัน แต่พราะวาดในคนละเวลาฉะนั้นแสงสีก็ต่างกันไปด้วย ทำให้เกิดความรู้สึกที่แตกต่าง อีกทั้งด้วยขนาดอันมหึมาของภาพนี้ก็ทำให้เรารู้สึกเล็กลงไปโดยปริยาย นั่งที่เก้าอี้มองภาพแค่นี้ก็มีความสุขได้ค่ะ นอกจากนี้แล้วที่ Orangerie ก็ยังมีภาพแนว Modern ให้ชมกันด้วย ทั้งของ Sisley Modigliani ก็มี ถึงแม้ว่าคอลเล็กชั่นจะไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น แต่ก็ลองๆไปดูกันนะค่ะ ไม่ผิดหวังค่ะ ส่วนใครที่อยากซื้อหของฝากติดไม้ติดมือที่นี่ก็มีร้านขายของที่ระลึกเล็กๆค่ะ ไปหาซื้อกันได้ ราคาก็แอบสูงกว่าข้างนอกนิดหน่อย แต่ก็ไม่แน่ว่าข้างนอกจะมีของเหมือนกันรึเปล่า ยังไงก็คิดดูให้ดีๆละกันค่ะ

Centre George Pompidou

ที่สุดท้ายที่จะพาไปชม art collection ก็คือ Centre George Pompidou ค่ะ ตัวอาคารของที่นี่เป็นลักษณะโมเดิร์นสุดๆ ไม่ซ้ำแบบใคร ให้ความรู้สึกเหมือนหลุดไปอยู่ในโลกแห่งอนาคตยังไงยังงั้น ที่นี่นอกจากจะมีผลงานแสดงทางศิลปะแล้ว ก็ยังมีห้องสมุด และห้องทำกิจกรรมไว้สำหรับเยาวชนชาวปารีสได้มาใช้บริการกันอีกด้วยค่ะ แต่เพราะว่าไม่ได้มีเวลาเยอะขนาดนั้น เราเลยเลือกไปดูชั้นบนที่เป็น gallery ก่อน ที่นี่มีผลงานร่วมสมัยให้ชมอยู่เยอะเลยค่ะ จัดไว้เป็น campaign แสดงช่วงๆ ตามแต่ที่เค้ากำหนดไว้ ศิลปินส่วนมากก็มาจากยุโรป และอเมริกา ที่เรียกว่างานร่วมสมัย ประกอบไปทั้งที่เป็นแสง สี เสียง ภาพ อะไรต่างๆ อย่างตอนที่ไปนี้ เค้าก็มีเรื่องเกี่ยวกับ ผู้หญิงและการทารุณกรรมทางเพศ นับว่าเป็นหัวข้อที่น่าสนใจทีเดียว ผลงานที่แสดงก็ถือว่าไม่เลวค่ะ มีลูกเล่นเยอะแยะ บางอันก็โดนจึ๊กเข้าไปเต็มๆ บางอันก็ออกแนวประชดประชัน ปลุกกระแสสังคมได้อีกทางเลยทีเดียว

เอาหล่ะค่ะ ไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์กันมาเยอะแล้ว อย่าเพิ่งเบื่อกรุงปารีสแห่งนี้นะค่ะ ยังค่ะ เรายังไม่ได้ไปไหน เดี๋ยวจะพาไปดูว่าเค้ามีอะไรกินกันที่นี่บ้าง รออีกนิดหนึ่งละกันค่ะ

ปั่นจักรยานชิวๆตอนสายๆของเช้าวันอาทิตย์

เอาหล่ะค่ะ วันนี้เราขอมาพักชิวๆซักวันหนึ่ง เริ่มต้นยามเช้าด้วยการนอนตื่นสายค่ะ ใช่แล้วก็ตะลุยเที่ยวมาซะทุกวันจนเหนื่อยเมื่อยตัวไปหมดแล้ว ขอเวลาพัก

Velib in Paris

บ้างเล็กๆน้อยๆ กลางกรุงไฮโซโรแมนติกอย่างนี้ เราสองคนก็เลยขอลัลลาให้จังหวะชีวิตมันค่อยๆเดินไปอย่างช้าๆบ้างละกันนะค่ะ ที่ที่จะพาไปวันนี้ก็คือตลาดค่ะ ใช่แล้ว เพราะว่าเดินมาเยอะ เมื่อยแข้งเมื่อยขา แถมว่าวันนี้ยังเป็นวันอาทิตย์อีกด้วย อะไรจะสำคัญเท่าการหาเสบียงอร่อยๆ ราคาถูกไว้ตุนสำหรับเวลาอีกสองอาทิคย์ที่ต้องเตร็ดเตร่ตะลอนตะลอนอยู่ที่นี่หล่ะค่ะ ฉะนั้นแล้วขอลากคุณผู้อ่านไปดูตลาดของเมืองปารีสนี้กับพวกเราละกันค่ะ

ตามที่เกริ่นไว้ว่าเดินกันจนเมื่อยขาไปหมด ระบมไปทั่วตลอดหลายวันที่ผ่านมา ฉะนั้นเราเลยขอเปลี่ยนมาขี่รถจักรยานกันดูบ้างค่ะ ในกรุงปารีสที่มีรถจักรยานไว้บริการอยู่เป็นร้อยๆจุด เค้าเรียกกันว่า Velib ค่ะ เป็นคล้ายๆรถจักรยานให้เช่า ส่งเสริมให้คนใช้รถน้อยลง และประหยัดพลังงานเชื้อเพลิงนั่นเองค่ะ แล้วในเมื่อคนฝรั่งเศสค่อนข้าง active อยู่แล้ว ฉะนั้นการปั่นจักรยานก้เหมือนเป็นการออกกำลังกายเล็กๆน้อยๆ รถจักรยานนี้จะจอดเรียงอยู่เป็นตับในสถานนีซึ่งจะพบเห็นได้อยู่ทั่วกรุง Velib นี้มีเอกชนมาขอสัมปทานจัดการให้ ทุกคนไม่เว้นแม้แต่นักท่องเที่ยวก็สามารถใช้จักรยานนี้ด้ เพียงแต่ต้องซื้อรหัสใช้จักรยานที่สถานีจอดจักรยานเหล่านี้ เพียงแต่คุณมีเครดิตการ์ดที่มีวงเงินเกิน 100 ยูโรก็สามารถยืมจักรยานไปใช้ได้ ทั้งนี้สามารถยืมจักรยานจากสถานีหนึ่ง แล้วไปคือนอีกสถานีหนึ่งก็ได้ ไม่มีใครว่าแม้แต่น้อย และที่สำคัญก็คือว่าคุณสามารถเช่ารายวันแต่จ่างเพียงหนึ่งเหรียญ หรือเช่าฟรีหากคุณจอดรถภายในเวลาครึ่งชั่วโมงหลังจากที่คุณเอารถออกมา ฉะนั้นแล้วด้วยประการะฉะนี้ การใช้ Velib จึงเหมาะสุดๆกับวันอาทิตย์เบาๆอย่างวันนี้ค่ะ สนใจข้อมูลเวลิบไปหาได้ที่ http://www.velib.paris.fr/

ฉะนั้นแล้วหลังจากตื่นนอนอย่างเบาๆของวันขี้เกียจๆ เราก็ตระเวณออกไปลองหาสถานี Velib หน้าบ้าน รูดบัตร ดึงจักรยาน แล้วพากันปั่นไปบนถนนโล่งกว้างของสายวันอาทิตย์ในนครปารีสแห่งนี้ เพราะว่าไม่ได้มีแผนที่แน่นอน เราเลยกะว่าจะปั่นไปเลียบถนน Saint Germain de Peres วนรอบอนุสาวรีย์ Le Concord

Rue de Saint Germain de Pere

และข้ามน้ำ Seine ไปอีกฟาก แล้วค่อยๆปั่นต่อไปตามประสา อากาศดี ลมเย็นๆพัดมา ไม่นานก็เห็นคนปั่นจักรยานกลุ่มอื่นก็พากันปั่นตามกันมาเป็นกลุ่มใหญ่ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เราจีงลองออกนอกเส้นทาง แล้วตามเค้าไปมั่ง แต่ตามไปได้ซักระยะ เราก็พบกับไฟแดง ต้องทิ้งท้ายกลุ่มจักรยานกลุ่มนั่น แล้วปั่นเล่นสองคนบนเลนส์จักรยาน

ปัญหาสำคัญของการปั่นจักรยานในเมืองใหญ่เช่นนี้ก็คือเราไม่รู้ที่รู้ทางพอ เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วด้วยระดับความเร็วของจักรยานคันกระจ้อยก็ทำให้เราต้องหลงอยู่เป็นระยะๆ ต้องคอยมองอยู่ตลอดย่าถึงถนนเส้นไหนแล้ว โชคดีที่ป้ายบอกชื่อถนนมีอยู่ทั่วทุกหนระแหง ฉะนั้นต่อให้หลงก็ไม่กลัวเท่าไหร่ เราปั่นไป มองรถไป ค่อยๆวิ่งไปบนเลนส์น้อยๆซึ่งบางครั้งก็ต้องแชร์กับพวกรถมอเตอร์ไซค์ที่ถูกรถยนต์เบียดให้ตกทางหลัก จึงเข้ามาแจมกับทางรองของพวกเราเป็นระยะระยะ ก่อนที่จะไปตลาด เราพากันแวะที่มหาวิหาร Pantheon วิหารขนาดใหญ่ที่เคยเกริ่นให้ฟังไปแล้วว่าเป็นที่เก็บอัฐฐิของบรรดารัฐบุรุษของประเทศฝรั่งเศสกันเลยทีเดียว

Pantheon, Paris

ไอ่เราแอบตื่นตาตื่นใจกับPantheon แห่งนี้เพราะเคยทำรายงานสถาปัตยกรรมของ Pantheon ที่กรุงโรม เลยอยากรู้ว่ามันจะเหมือนกันขนาดไหน พอเข้าไปปุ๊บก็รู้สึกว่ามันคล้ายกันอย่างประหลาด โดยเฉพาะโดมข้างในที่ออกแบบมาเพื่อให้เกิดเสียงสะท้อนโดยเฉพาะ พอเดินดูประวัติเรื่องเล่าตามตำนานของศาสนาคริสต์ในนั้นได้ไม่นานก็มีไกด์ภาษาอังกฤษร้องเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวที่สนใจขึ้นไปดูบนยอด Pantheon มารวมตัวกันเพื่อเค้าจะได้พาขี้นไปพร้อมกันทีเดียว ไอ่เราก็ยิ่งตื่นตาตื่นใจ เริงร่ารีบตามพวกฝรั่งไปกับเค้าด้วยอีกคน

จากสภาพ Pantheon อันสวยงามหมดจดเราเริ่มเห็นริ้วรอยของกาลเวลาเมื่อเราเริ่มก้าวไปสู่ประตูลับของนักบวชที่พาไปสู่บันไดเวียน และบริเวณทางเดินทึมๆที่อยู่ด้านบน เราสัมผัสได้ถึงกลิ่นอับนิดๆ ของอากาศในทางลับแห่งนั้น ไกด์ค่อยๆอธิบายทีละอย่างสองอย่าง บรรดาลูกทัวร์ต่างเงี่ยหูฟัง ยกเว้นเด็กเล็กๆสองสามคนชาวอิตาเลียนที่ยังไม่เข้าใจภาษาอังกฤษดีนัก เราค่อยๆไต่บันไดขอบหลังคาขี้นไปยังชั้นดาดฟ้าบนสุดที่มีลมโกรกอยู่เป็นระยะๆ และภาพเบื้องหน้าที่เห็นของนครปารีสช่างดูยิ่งใหญ่อลังการ์เสียเหลือเกิน มหาวิหารบนเนิน Montmartre และหอไอเฟล ตั้งอยู่คนละมุมเมือง เกาะ Ile de la Cite อันเป็นที่ตั้งของ Notre Dame ช่างดูสง่างาม และสูงส่งจนบังเงาของแม่น้ำ Seine เบื้องล่างไปจนหมด ภาพบริเวณที่พักอาศัยอันเป็นตึกเก่ามีรูปทรงเดียวกันทั้งเมือง นอกจากนี้ตลอด 360 องศารอบๆ ยอด Pantheon แห่งนี้ เราเห็นเพียงตึกเรียงรายจนไกลสุดลูกหูลูกตาเลยทีเดียว นับเป็นหนึ่งในภาพประทับใจจริงๆของนครแห่งนี้

panorama from the top of Pantheon

พอลงมาจากวิหาร Pantheon เราสองคนก็พากันขับจักรยานต่อไปยังตลาด Mouffetard บริเวณ Latin Quartier พอจอดรถเสร็จก็ถึงเวลาช๊อปของกินกันเลยทีเดียว แถบนั้น เต็มไปด้วยร้านขายของชำ และอาหารแห้งอาหารสดมากมาย ทั้งเนื้อทั้งผัก ทั้งขนมนมเนยหรือร้านเอเชีย ล้วนมีให้เลือกสรรอย่างไม่รู้จบ แต่คนเอเชียไส้แห้งอย่างเราก็มีแต่หันหน้าเข้าร้านลาวซึ่งมีขายครบตั้งแต่สาหร่ายเถ้าแก่น้อยไปจนถึงชาไข่มุก และทอดมันปลาสำเร็จรูป แล้วมีหรือที่สองสาววัยกำลังกินกำลังนอนจะปล่อยโอกาสอันโอชะนี้ให้หลุดมือ เราเลยปรึกษากันแต่น้อย แต่เลือกอาหารแต่มาก ตุนไว้สำหรับทั้งอาทิตย์ และขณะที่กำลังจ่ายเงินนั้นเองพนักงานหน้าตาเอเชียบ้านเราก็ถามเป็นภาษาไทยแบบไม่สู้ชัดนักว่าเป็นคนไทยรึเปล่า ไอ่เราก็เหวอใส่อยู่แป็บ คุยไปมาปรากฏว่าเป็นคนลาวที่มาอยู่ปารีส แต่ฟังไทยรู้เรื่องอยู่บ้าง เราเลยพาลสันนิษฐานว่าคนลาวไฮโซเดียวนี้ฟังไทยรู้เรื่องคงเพราะยดูละครไทยด้วยกระมัง

เดินๆดูๆกินๆ แค่แป็บเดียวเองเวลาก็หมดลงเสียแล้ว นี้แหล่ะน่ะที่เค้าว่าตอนที่เรามีความสุข เวลามักจะผ่านไปเร็วเสมอ เชื่อกันเลยสิคราวนี้

วันนี้เม้าธ์ฝอยน้ำลายฟุ้งไปหลายหยดแล้วค่ะขอพอก่อนแค่นี้ละกันนะค่ะ วันหน้าค่อยมาต่อใหม่ค่ะ

France…Paris (เดินเลียบๆเคียงๆรอบริมน้ำ Seine)

Paris เมืองอกแตก

ด้วยเพราะปารีสเป็นเมืองอกแตก (เหมือนกรุงศรีอยุธยาบ้านเรา) จีงมีแม่น้ำสายใหญ่ไหลผ่านใจกลางเมือง และแบ่งซีกเมืองออกเป็นฝั่งซ้าย (rive gauche) และฝั่งขวา (rive droite) โดยมีเกาะประจำเมืองเช่น Ile de la Cite และ Ile de Saint Louis อยู่ตรงกลาง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น แม่น้ำSeine หาได้ไหลจากเหนือไปใต้ไม่ แต่กลับไหลจากทิศตะวันออกไปทางตะวันตก ฉะนั้นอาจทำให้หลายคนสับสนว่าแล้วฝั่งไหนคือขวา หรือซ้ายกันเล่า ก็ให้เอายังงี้ค่ะ ให้เราหันหน้าไปทางด้านที่แม่น้ำ Seine มุ่งหน้าไป แล้วก็จะทราบได้ทันทีว่าตัวเองอยู่ฝั่งไหนกันแน่คะ

จากที่พาไปเดินดูร้านหนังสือเมือวันก่อนนู้น เราก็จะพาทุกท่านมาเดินเลียบริมฝั่ง Seine ถ้าจะบอกว่าริมน้ำ Sein มีสองชั้น ชั้นบนกะชั้นล่าง แต่ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยามีอยู่ชั้นเดียวไม่แน่ใจว่าทุกคนจะพอเข้าใจถึงความแตกต่างรึเปล่ามันเป็นสอ

ทางเดินริมน้ำ

ชั้นที่มีบันไดเชื่อมอยู่ระหว่างกันคะ โดยที่ชั้นบนจะเป็นชั้นที่ติดกับถนน ส่วนชั้นล่างก็เป็นทางเดินกว้างประมาณ 3 เมตร ให้เดินเลียบริมน้ำไปเรื่อยๆ ถ้ามีสะพานก็พาเราลอดใต้สะพานไปซะงั้น ถ้าเราอยู่ชั้นล่างจะเห็นว่าด้านหนึ่งเป็นแม่น้ำไหลเอื่อย อีกด้านหนึ่งเป็นกำแพงผนังทะมึน ซึ่งก่อตัวขึ้นไปเป็นชั้นบนนั่นเอง ฉะนั้นแล้ว เชื่อแน่ว่ากรุงปารีสยังไงก็คงไม่ท่วมง่ายๆ เพราะได้กันพืันที่รับน้ำเอาไว้เป็นอย่างดี

เราพากันเดินไปบนทางเดินชั้นล่าง โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศร้อนได้ใจอย่างเดื

Paris Plage

อนสิงหานี้ทางนครปารีสก็จัดให้มีงานฉลองริมหาด(ปลอมๆ) ขี้นที่ริมฝั่ง Seine ค่ะ ซึ่งเรียกกันว่า Paris Plage อันแปลว่าหาดทรายของกรุงปารีส ทั้งนี้ก็อย่าเพิ่งจินตนาการนะค่ะว่าจะเป็นทรายละเอียดขาวบริสุทธิ์เหมือนกาะพีพีบ้านเรา แต่ว่าเป็นทรายขาวที่อยู่ในกระบะทราย เหมือนกระบะทรายเด็กเล่นนั่นแหล่ะค่ะ แล้วก็จะมีบรรดาโต๊ะริมหาด ร่มกันแดดตั้งอยู่เรียงราย รวมถึง springer ที่ปล่อยไอน้ำให้ฟุ้งฝอยกระจายไปทั่วบริเวณ เพื่อลดไอแดดที่ร้อนระอุให้กับบรรดาเหล่านักอาบแดดมือฉมังที่ใช้โอกาศนี้แอ่นอกออกมาดาหน้ารับแดดกันไม่เลือกทั้งชายหญิง เห็นแล้วไม่ต้องไปถ้ำมองไกลๆถึงชายหาดก็หาชมได้เต็มๆตาในนครปารีสนี้เองค่ะ

เท่าที่ทราบไอ่งานอย่างนี้จะจัดช่วงเดือนกรกฏาถึงสิงหาเท่านั้นเพื่อเอาใจคนเมืองที่ไม่มีโอกาสไปอาบแดดพักร้อนตากอากาศตามชายหาดของจริง นอกจากนี้แล้วยังมีเทศกาลการละเล่นต่างๆ รวมถึงการร้องรำทำเพลงทั้งฝรั่งเศสทั้งอังกฤษอย่างสนุกนาน นับเป็นกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวเพลินๆอย่างเราๆบังเอิญได้มาเจออย่างไม่ลำบากลำบนเลยค่ะ เมื่อเราเดินถัดออกมาจากตรงบริเวณนิทรรศกาลก็จะพบกับความเงียบสงบ(มีเสียงน้ำไหล และรถวิ่งอยู่บนหัวประปราย) พร้อมกับภาพคู่รักเดินคุยกระหนุงกระหนิง และมีแม่น้ำ Seine ไหลไปเอื่อยๆเป็นเพื่อน บ้างก็หยุดเดิน นั่งริมฝั่งเอาขาห้อยลงน้ำแล้วหันมาคุยอย่างออกรส บ้างก็เอาอาหารมานั่งกินกันเล็กๆน้อยๆอย่างกับไปปิกนิกสุดโรแมนซ์ดูช่างมีความสุดกันเสียเหลือเกิน

เราพากันเดินเลียบริมน้ำไปได้ซักพักก็ต้องขอขี้นบันไดมายังริมฝั่งชั้นบนซี่งเป็นระดับเดียวกับถนน อันมีพ่อค้าแม่ค้ามาตั้งเพิงขายภาพศิลปะ โปสการ์ด รูปถ่าย

เพิงขายของบริเวณริมน้ำ

หรือแม้แต่หนังสือโบราณเรียงรายอยู่ตลอดทางเดิน แต่เค้าไม่ได้ตั้งระเกะระกะหรอกนะค่ะ เค้าตั้งติดกับรั้วนั่นเองหละค่ะ หวังขายนักท่องเที่ยวที่มาเยือน รวมถึงขายหนังสือให้กับบรรดานักศึกษาผู้สนใจอีกด้วย มองๆไปก็ดูเพลินๆดีค่ะ บางทีก็มีภาพหนังสือหนังหาที่น่าประทับใจ ตลอดจนภาพถ่ายเก่าๆของนครปารีสที่หาดูได้ยาก รวมทั้งโปสการ์ดสีหม่นเลียนแบบหน้าปกนิตยสารแฟชั่นรุ่นเดอะ แถมมีตัวการ์ตูนน่ารักๆที่หาดูได้ยากเรียงรายกันอยู่อีกด้วย บางทีก็มีภาพวาดสีน้ำของนครปารีส และจุดท่องเที่ยวสำคัญๆวางขายอยู่ สนธิ์ราคาก็ไม่ได้แพงหูดับตับไหม้เกินไป

โชว์รูปกันอย่างนี้เรย

เรียกได้ว่าสุดย๊อดดดดจริงๆ ทำเอาเรารู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในร้านขายของเก่าอันเต็มไปด้วยวัตถุที่มีคุณค่าทางจิตใจค่ะ น่ารักสุดๆ ใครมีเวลาและไม่รีบร้อนอะไรขอ recommend เส้นทางเดินเล่นเอื่อยๆเรื่อยๆริมน้ำแห่งนี้ อันจะพาให้คุณไปพบกับความรู้สึก ความคิด และความทรงจำของนครหลวงอันยิ่งใหญ่แห่งนี้ค่ะ

France…Paris (ตระเวณเมืองชมร้านหนังสือ)

เอาหล่ะค่ะ หลังจากที่พาไปตระเวณดูที่เที่ยวสำคัญที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวแล้วน คราวนี้เราพาทุกท่านไปสัมผัสกับบรรดาร้านหนังสือมีชื่อกลางกรุงปารีสกันดีกว่านะค่ะ ไม่ซื้อไม่หาไม่ว่าไม่เป็นไร แค่ไปชิวๆ หลบฝูงนักท่องเที่ยวแล้วปล่อยตัวปล่อยใจให้เพลินไปกับบรรดานิทาน นิยาย ตลอดจนหนังสือภาพโบราณๆของเมืองสุดโรแมนซ์ที่สร้างแรงบรรดาลใจในการเขียนหนังสือของนักเขียนทั้งที่เป็นคนฝรั่งเศสเองเช่น Victor Hugo หรือชาวต่างชาติเช่น Hemmingway มารุ่นแล้วรุ่นเล่าค่ะ

Gibert Jeune

แหล่งแรกก็คือบริเวณจตุรัส Saint Michel นั่นแหล่ะค่ะ ที่เล่าเกริ่นไว้ตั้งแต่ต้นว่าเป็นแถบ Latin Quartierค่ะ ที่ทางแถวนี้เลยกลายเป็นแหล่งเดินเล่นของนักศึกษามหาลัยชื่อดังเช่น Sorbonne ไปเลยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้เราจึงหนีไม่พ้นที่จะพบร้านหนังสือราคาย่อมเยาว์สำหรับบรรดานักศึกษาเรียงรายอยู่ทั้งสองฝั่งถนน ร้านที่เจ๋งที่สุด และใหญ่ที่สุดด้วยก็คือร้านสีเหลืองสะดุดตานามว่าGibert Jeune ซึ่งตั้งอยู่บริเวณรอบจตุรัสพอดิบพอดี เพราะเหตุนี้ร้านเลยต้องกระจายเป็นหลายๆตึกในบริเวณเดียวกัน และแต่ละตึกจะมีหนังสือแต่ละประเภทแตกต่างกันไป แต่อย่างที่บอกแหล่ะค่ะเพราะว่าเป็นร้านหนังสือเรียนซ่ะส่วนใหญ่ฉะนั้นตึกที่นักเที่ยวอย่างเรามักแวะเวียนเข้าไปดูไปชมก็คือตึก Literature ซึ่งไม่ได้มีแต่วรรณกรรมภาษาฝรั่งเศสเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่มีทั้งหนังสือนำเที่ยวตลอดจนวรรณกรรมภาษาอื่นๆรวมทั้งภาษาอังกฤษอีกด้วย วรรณกรรมเหล่านี้ก็มีให้เลือกสรรอย่างครบครันจุใจ ตั้งแต่นิยายอมตะของพี่น้องตระกูลBronte หนังสือเรื่องหรือนักเขียนฝรั่งเศสดังๆเช่น Victor Hugo, Balzac หรือ บางครั้งก็เป็นหนังสือมือสองราคาถูกแทบไม่น่าเชื่อ บ้างก็เป็นหนังสือมือหนึ่ง แต่พิมพ์ใหม่เป็นฉบับสำหรับนักเรียนให้เลือกชม เลือกซื้ออีกด้วย ฉะนั้นแล้วนักอ่านทุกท่านไม่ควรละเลยร้านหนัสือดีดีแบบนี้เลยค่ะ จำได้ว่าเวลาต้องไปรอเพื่อนแถวนั้นทีไร ต้องบอกให้เค้ามาเจอที่ร้านนี้ทุกทีเชียว นั่งอ่าน ยืนอ่านนานเท่าไหร่ไม่มีใครว่า ที่สำคัญก็คือเครปฝรั่งเศสที่มีขายแถบนั้นอร่อยมากๆๆ สี่ห้ายูโรเท่านั้นเองสำหรับอาหรเครปมื้อนี้ที่มาพร้อมกับไส้ทะลักออกมาอย่างไม่อายคนข้างๆกันเลยทีเดียว

Logo Shakespeare & Co.

พอเราเดินเรียบแม่น้ำ Seine ถัดมาอีกหน่อยก็จะพบกับร้านหนังสือภาษาอังกฤษเก่าแก่สุดแนวนามว่า Shakespeare and Co. อันลือชาของเมือง เพราะอะไรหน่ะเหรอค่ะก็เพราะว่าอดีตเจ้าของของสถานที่นี้เป็นชาวอเมริกันซึ่งติดใจเมืองหลวงแห่งนี้นักหนาเลยลงหลักปลักฐานเอาที่ตรงข้ามกับ Notre Dame แห่งนี้ แถมยังหอบหิ้วหนังสือภาษาอังกฤษของตนเองข้ามน้ำข้ามทะเลมาให้เพื่อนๆได้หยิบยืมไปอ่าน ไม่พอแค่นั้น เค้ายังปล่อยให้เพื่อนที่เป็นนักเขียนดังๆมาพักอาศัยได้ฟรีๆระหว่างที่พวกเขามาเที่ยวกรุงปารีสอีกด้วย บรรดานักเขียนดังเช่น Henry Miller, Lawrence Durrell ภายในร้านก็ยังคงรักษาความคร่ำครึตามแบบร้านหนังสือโบราณไว้ได้อย่างดี กำแพงเก่าซีดตัดกับไม้สีเข้มของชั้นหนังสือที่ถูกต่อขึ้นเป็นชั้นอย่างลวกๆ บนนั้นหนังสือใหม่เก่าปะปนเปกันเต็มไปหมด ราคาหนังสือแต่ละเล่มจะพบได้เมื่อเปิดปกเข้าไปหน้าในแล้วเห็นรอยดินสอซีดๆ ซอกซอยในร้านถูกทำให้ซับซ้อนขี้นด้วยชั้นหนังสือbuilt in เช่นนี้ ตามมุมห้อง หรือมุมหลบเสา มักมีโซฟาเก่าๆให้นั่งอย่างสบายๆพร้อมกับหนังสืออยู่ในมือ แม้ว่าขนาดของร้านจะไม่ใหญ่นัก แต่ลักษณะการจัดทำให้รู้สึกว่ามีหนังสืออยู่ในร้านเป็นจำนวนมหาศาล นอกจากลักษณะที่ว่านี้แล้วเมื่อเดินขี้นบันไดไม้เก่าโทรมขี้นไปชั้นบนจะพบป้ายใหญ่ขียนอย่างชัดเจนว่าหนังสือชั้นบนไม่ได้มีไว้ขาย แต่สามารถหยิบจับออกมาอ่านแล้วเก็บเอาไปไว้ที่เดิมได้ บริวเณกำแพงทางขี้นก็มียังมีเหนังสือเก่าเรียงอยู่เป็น

ภายในร้านที่เต็มไปด้วยหนังสือจริงๆ

ตับ สลับกับบรรดารูปถ่ายนักเขียนที่เคยมาเยือนร้านหนังสือเล็กๆแห่งนี้ พอเราก้าวขี้นไปถึงชั้นบนมสามารถมองเห็นปียโนเก่าๆตั้งอยู่หนึ่งตัว พร้อมกับป้ายเชื้อเชิญให้เราเข้าไปบรรเลงเพลงโปรด พร้อมกับเก้าอี้สำหรับผู้ชมให้นั่งๆฟังได้อีกด้วย หนังสือชั้นสองนี้เป็นหนังสือเก่าเก็บมานมนานจริงๆค่ะ เป็นเหมือนห้องเก็บสะสมหนังสือเก่าโบราณมากมาก มีทั้งเรื่อง Gone with the wind ที่เคยทำเป็นหนังรักอมตะตลอดกาล หรือแม้แต่หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์สมัยดึกดำบรรพอีกด้วย เรียกได้ว่าสุดย๊อดคอลเล็กชั่นหนังสือภาษาอังกฤษค่ะ ใครอยากรู้เรื่องราวของร้านเก๋ๆสุดเท่ห์แห่งนี้ก็แวะไปเยี่ยมชมเว็บไซต์เค้าได้ที่ http://www.shakespeareandcompany.com

ร้านสุดท้ายที่จะกล่าวถึงในวันนี้ก็คือร้าน WHSmith ที่ซึ่งเค้าโฆษณาว่ามีคอลเล็กชั่นหนังสือภาษาอังกฤษที่ใหญ่ที่สุดในฝรั่งเศส ร้านนี้ตั้งอยู่ใกล้กับพิพิธภัณฑ์ Louvre ภายในเป็นร้านแนวผู้ดีอังกฤษ เน้นความเรียบสวยคลาสสิกด้วยชั้นหนังสือไม้ ชั้นแรกเป็นหนังสือนำเที่ยวทั่วโลกและนิยายภาษาอังกฤษ

WHSmith

ทั้งวรรณกรรมอมตะหรือนิยายเบาสมองแนว Shit Lit นั่นแหล่ะค่ะ ชั้นที่สองแบ่งเป็นสองโซนหลักคือโซนจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากสหราชอาณาจักร ตั้งแต่คุ้กกี้ กระทั่งสบู่ยี่ห้อเมืองผู้ดีเค้า อีกโซนหนึ่งคือโซนหนังสือnon fiction พวกหนังสือแนวสังคมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ จิตวิทยา การแพทย์ และวิทยาศาสตร์ต่างๆมีให้เลือกอยู่มากมายตามแต่สะดวก แม้จะไม่ได้มีจุดเด่นเป็นเอกลักษณ์มากมายเหมือน shakesapeare and co ข้างต้น แต่ก็มีหนังสือหลากหลายให้เลือกได้จุใจจริงๆค่ะ

เที่ยวไปทั่วกันมามั่งแล้ว ถ้าจะเทียบราคาหนังสือแล้ว ขอบอกว่า Gilbert Jeune ถูกที่สุดในทั้งสามแห่งแล้วค่ะ แต่จะมีแค่วรรณคดี วรรณกรรม นวนิยายภาษาอังกฤษเท่านั้นนะค่ะ ส่วน WHSmith กะ Shakespeare จะมีหมดทุกประเภทค่ะแล้วราคาก็จะสูงขึ้นมานิดหนึ่ง เหมาะสำหรับไปนั่งอ่านหนังสือฟรีๆมากกว่าค่ะ ถือซ่ะว่าไปนั่งอ่านนานๆเอาบรรยากาศของหนอนหนังสือสมัยซักห้าสิบปีมาแล้วละกันนะค่ะท่านๆทั้งหลาย คราวหน้าอาจจะพาไปเดินเล่นเลียบๆริมน้ำ Seine ยังไงอะไรที่ไหน โปรดติดตามอ่านตอนต่อไปค่ะ

เนิน Montmartre ของเหล่าศิลปิน

เล่าไปเล่ามาดูเหมือนว่าเราจะได้ไปเที่ยวไปทัวร์ไปเดินไปดูมาเป็นสิบๆที่แล้วนะค่ะ แต่ยังค่ะ เมืองแห่งนี้ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่รอคอยให้เราไปค้นหา นอกจากที่ปารีสจะเต็มไปด้วยโบราณสถานสำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองทั้งของประเทศเค้าเองและของโลกแล้ว ยังมีสถานที่สำคัญทางศิลปะอีกหลายแห่งด้วยเช่นกัน หนึ่งในนั้นก็คือบริเวณที่เรียกกันว่า Montmartre ที่แห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาทางเหนือซึ่งสามารถมองเห็นได้จากเรอบเมืองปารีส ไม่ว่าอยู่แห่งไหนก็ตาม หากมองไปรอบๆแล้วจะเห็นมหาวิหาร Sacre Coeur หลังใหญ่สีขาวบนยอดเนินแห่งนี้แน่นอน ฉะนั้นแล้วจุดหมายปลายทางของวันนี้ก็คือ Montmartre นั่นเองค่ะ แต่กว่าเราจะไปถึงหรือว่าพบอะไรยังไงบ้างไว้รอไปฟังทีเดียวเลยดีกว่าค่ะ

เช้าวันหนึ่งพวกเราสองคนได้ทีอากาศดีแดดร่มลมอุ่นจึงพากันเดินจากที่พัก ตัด

Opera House

ผ่านบริเวณ Opera House ประจำเมือง ซึ่งเคยรับนักดนตรีเพลงบรรเลงสำคัญๆของโลกเช่น โมสาร์ท เบโทเว่น มาแล้วด้วย ความหรูเลิศอลังของสถานที่แห่งนี้ไม่เพียงแต่จะเห็นได้จากสถาปัตยกรรมบาโรคบนอาคารหินอ่อนพร้อมขอบเลื่อมทองเท่านั้น แต่บรรดาเหล่ารถทัวร์คันมหึมาที่บรรจุนักท่องเที่ยวหน้าตาเอเชียอย่างเราๆนี้ไว้เต็มไปหมด โอ้วววววว แสดงว่าที่นี่มันสำคัญจริงๆนะเนี้ย บริเวณแถบนั้นก็มีบรรดาห้างสรรพสินค้าน้อยใหญ่ รวมถึงสถานที่แลกเงินและธนาคารไว้บริการนักท่องเที่ยวกระเป๋าหนาทั้งหลายอย่างรู้ใจและรู้ทัน ฉะนั้นแล้วบรรดาคนกระเป๋าแห้งอย่างเราๆทำได้ดีที่สุดก็แค่แวะเข้าร้านน้ำหอม แตะๆ ดมๆ ดอมๆ ลองของเล่นๆ ฉีดน้ำหอมแต่ละยี่ห้อลงบนกระดาษลองแล้วจ่อมลงในกระเป๋าถือเพื่อให้มีกลิ่นพอหอมปากหอมคอไปบ้างก็เท่านั้นเอง แต่ก็สมแล้วค่ะที่เป็นเมืองน้ำหอม เพราะน้ำหอมมีให้เลือกเยอะจริงจัง

แต่ว่าต้องยอมรับยกนิ้วเลยค่ะว่าร้านน้ำหอมบริเวณนี้นี่เยอะจริงๆ ร้านติดร้าน ร้านติดร้าน บางทีก็แซมด้วยร้านเสื้อผ้า และของแต่งบ้าน ซึ่งจัดได้อย่างน่าดูชมจริงๆ ไม่เว้นแม้แต่ร้านคอมพิวเคอร์ตระกูลแอปเปิ้ลซึ่งเปิดร้านแกลเลอรี่ให้ผู้คนเข้าไปเลือกชมเลือกซื้อเลือกใช้สินค้าได้อย่างเต็มที่ ด้วยความที่จากบ้านมานาน เราสองคนจึงกระวีกระวาดเข้าร้านคอมไปส่งอีเมล์เช็คเฟ๊ซบุ๊กตามประสาคนภาระทางบ้านมากค่ะ พอเลือกเครื่องที่ถูกใจได้ปุ๊บก็เข้าไปเสียบทันทีที่คนว่าง อิอิ สนุกดีค่ะ ลัลล้าอยู่ในนั้นสักเกือบชั่วโมง จึงออกเดินทางต่อไปยัง Montmartre เลยทันที

Montmartre นี้จริงๆแล้วเป็นชื่อบริเวณที่อยู่รอบๆเนินซึ่งมีมหาวิหาร Sacre Coeur (หัวใจศักดิ์สิทธิ์) อยู่บนยอดเนิน ว่ากันว่าที่แห่งนี้เป็นที่นี่นักบุญเดนิสซึ่งเป็นบิช๊อปแห่งปารีสถูกประหารชีวิต ยังไม่พอค่ะ ความสำคัญของเนินแห่งนี้ก็คือเป็นที่ๆพวกศิลปินมีชื่อเคยอาศัยอยู่กันมานักต่อนักแล้วไม่ว่า แวนโก๊ะ ปิกัสโซ่ หรือแม้แต่ ดาลี่ ก็เคยมาพำนักอยู่ในบริเวณนี้เช่นกัน หากเดินท่อมๆตระเวณดูตึกรามบ้านช่องแถบนี้ก็มักมีป้ายเล็กๆบอกหน้าประตูตึกว่าตึกนี้ใครเคยอยู่บ้างตั้งแต่ปีไหนถึงปีไหน บางทีก็จะเขียนประวัติสั้นๆของบุคคลผู้นั้นติดเอาไว้อีกด้วย ที่สำคัญก็คือว่าตึกรามบ้านช่องในกรุงปารีสโดยมากแล้วเป็นตึกเก่า ที่ได้รับการดูแลรักษาอย่างดี ทำให้คงมนต์เสน่ห์ของยุครุ่งเรืองโบราณได้อย่างไม่น่าเชื่อ ไม่เว้นแม้แต่ตึกพวกนี้ หากมองดีดีจะให้ความรู้สึกเหมือนว่าพวกเราเดินหลุดเข้าไปอยู่ในโลกแห่งอดีตก็ไม่เชิง

ศิลปินเกร่อไปหมด

เนื่องจากที่นี่เป็นแหล่งช่างศิลป์ ทำให้มีศิลปินจำนวนไม่น้อยมาตั้งแท่นเชื่อเชิญให้บรรดาผู้ที่เดินผ่านไปมามานั่งเป็นแบบวาดรูป พร้อมทั้งเป็นคล้ายๆตลาดนัดงานศิลปะที่น่าสนใจอีกด้วย บรรดาศิลปินทั้งฝรั่งทั้งจีน ทั้งที่วาดสีน้ำ สีน้ำมัน หรือสีฝุ่นก็พากันเก็กท่าอาร์ตเต็มที่ ง่วนงุนอยู่กับการวาดภาพระบายสีตามแต่ตนถนัด ให้ความรู้สึกคล้ายๆกับไนท์บาร์ซ่าร์ที่เชียงใหม่นั่นแหล่ะค่ะ แค่ที่นี่เค้าทำกันจริงๆจังๆ ตั้งโต๊ะใต้ร่มกันแดดคันโต ซุ่มละหลายๆคน สำหรับใครที่ชื่นชอบงานแนวๆ อาร์ตๆ แบบออริจิ ก็อย่าพลาดตามมาชมที่ทางแถบนี้นะค่ะ รับรองเด็ดว่าไม่ผิดหวัง

นอกจากนี้แล้วบริเวณนี้ยังเป็นที่ตั้งของ Molin

Molin Rouge ยามค่ำ

Rouge อีกด้วย หากใครเคยดูภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คงทราบว่าย่านนี้เป็นแหล่งแสงสีเสียงยามค่ำของมหานครแห่งนี้ นอกจากที่จะมีการแสดงโชว์คาบาเร่แล้ว ยังมีผับ บาร์ ดนตรี และที่ขาดไม่ได้คือร้าน sex shop ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ใช่ค่ะ แต่ว่าไม่ได้ไปเดินดูหรอกนะค่ะ ก็เราไปกันตอนกลางวัน ไอ่ร้านที่ว่านี้มันก็ปิดหมดสิค่ะ ที่เห็นก็แค่กังหันสีแดงอันโต ซึ่งจำลองมาเท่านั้นเองค่ะ แต่ว่าอย่าเพิ่งสลดใจว่าไม่ใช่อันจริงนะค่ะ กังหันที่ใช้งานจริงๆก็มีค่ะ แต่ว่าเหลืออยู่เพียงไม่กี่อัน แล้วแต่ละอันก็ดูโทรมกันไปหมดแล้วค่ะ

Sacre Coeur

พวกเราพากันเดินต่อจากจุดนั้น ขึ้นเนินไปเรื่อยๆจนถึงมหาวิหารหัวใจศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวยั่วเยี้ยยิ่งกว่ามดง่ามอีกค่ะ (อันนี้ยืมสำนวนคุณพ่อมาใช้) ขนาดยังเดินไม่ถึง เสียงภาษาอังกฤษ ภาษาจีน เกาหลี ญี่ปุ่นก็ดังโฉงเฉง บินว่อนไปทั่วบริเวณจริงๆ เพราะว่าคุณเพื่อนแกเคยมาแล้ว แกเลยขอปลีกตัวไปนั่งรับแดดรับลมดูคนร้องเพลงและชมวิวเมืองปารีสจากมุมสูงไปพลางๆ แต่เราจะพลาดไม่เข้าไปชมข้างในได้อย่างไร จริงมั้ยค่ะ ฉะนั้นแล้วอิฉันก็ไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือ ตามนักท่องเที่ยวคนอื่นๆเข้าไปชมความงามภายในวิหารอย่างเต็มที่ แต่ก็นั่นแหล่ะค่ะ พอคนเยอะ เราก็เริ่มขวัญหนีดีฝ่อแล้ว ไม่ได้ดูอะไรมากมาย แค่เข้าไปเอาบรรยากาศก็พอแล้ว ก็เราไม่ใช่คริสต์หนิค่ะ โบสถ์ที่ไหนมันก็ดูคล้ายๆกันไปซ่ะหมด พอออกมาปุ๊บก็รู้สึกสดชื่นทันที เหมือนได้หายใจหายคอเต็มๆปากอีกครั้งหนึง ฉะนั้นแล้วเจ้าสองขาก็พาเรากลับมานั่งหาคุณเพื่อน ตากไออุ่นรับลมไปเพลินๆ ค่ะ

ว๊าวเที่ยวเก่งไม่ใช่เบาเราสองคนนี้ วันนี้แอบเหนื่อยแล้วค่ะ ไว้วันหลังจะมาเล่าให้ฟังต่อว่าไปเที่ยวที่ไหนอีกบ้างนะค่ะ